หลังจากที่แดนนี่ บอยล์ ตัดสินใจเลือกลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ให้นำแสดงในเรื่อง The Beach แทนยวน แม็กเกรเกอร์ ในปี 2000 ยวนก็ไม่คุยกับแดนนี่อีกเลยไป 10 ปีรวด
ประเด็นจากเกร็ดนี้เหมือนเป็นหนังรักผัวเมียมาก
ยวน แม็กเกรเกอร์ นั้นจะว่าไปก็เป็นนักแสดงรุ่นแรกของแดนนี่ บอยล์ จะบอกว่าเติบโตมาด้วยกันก็ไม่ผิดนัก หนังเรื่องแรกของแดนนี่ บอยล์ Shallow Grave ก็มีนักแสดงที่ชื่อยวน แม็กเกรเกอร์ อยู่ด้วยเรียบร้อยแล้ว หนังเรื่องนั้นประสบความสำเร็จพอใช้ได้ และส่งผลให้แดนนี่สามารถทำหนังเรื่องต่อไปที่ชื่อ Trainspotting ในปี 1996 และนั่นก็เรียกได้ว่าเป็นงานแต่งงานของทั้งสองคน ยวนดังระเบิด แดนนี่ก็เช่นกัน มันดังชนิดที่ว่าหนังเรื่องนี้คือหนังไอคอนของยุคนั้น (จนกระทั่งวันนี้)
ความสำเร็จสุดๆ ของหนังสัญชาติอังกฤษเรื่องนั้นส่งผลให้แดนนี่มีโอกาสได้มาต่อยอดความสำเร็จในฮอลลีวูดกับหนังเรื่อง A Life Less Ordinary แน่นอนว่าเขาพา ยวน แม็กเกรเกอร์ พระเอกคู่บุญของเขาข้ามฝั่งมาประกบหนังนักแสดงหญิงหน้าใหม่ (ในตอนนั้น) อย่างคาเมรอน ดิแอซ โชคร้ายที่การเปิดตัวในฮอลลีวูดของแดนนี่ไม่สู้ดีนัก หนังโดนด่าและเจ๊งคาที่
โอกาสมันก็ไม่จบแค่นั้น แดนนี่ได้รับโอกาสทำหนังอย่าง The Beach อีกครั้งในปี 2000 แต่ยวนไม่ได้รับโอกาสนั้น
แดนนี่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ถึงจุดหนึ่งคุณก็อยากได้ดาราใหญ่มาอยู่ในหนัง เพื่อให้หนังทำรายได้ดีจนคุณลืมรากเหง้าของตัวเอง” ด้วยความคิดนี้ สุดท้ายแดนนี่ก็ไม่ได้เรียกยวนมาแคสต์หนังเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่เคยสัญญากันไว้แล้ว
ทางฝั่งยวน ผู้ซึ่งคิดในใจตลอดเวลาว่าเขาคือ ‘เด็กแดนนี่’ ก็ผิดหวังรุนแรง และนั่นคือต้นเหตุที่เขาไม่คุยกับแดนนี่อีกเลยจนกระทั่งปี 2009 ยวนให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า ถ้ามองย้อนกลับไป อารมณ์โกรธงอนนั้นก็คงเกิดจากอีโก้ตัวเอง และการที่คิดว่าตัวเองเป็นเด็กแดนนี่ บอยล์ มันทำให้ช่วงนั้นเขาเสียใจทุกครั้งเวลาที่แดนนี่มีหนังใหม่ แต่ไม่มีเขาร่วมแสดง ทั้งที่จริงๆ เขาไม่ควรจะโกรธ และควรจะเป็นมืออาชีพกว่านั้น หลายๆ ครั้งที่ทั้งสองคนต้องบังเอิญไปเจอกันตามงาน ยวนบอกว่าเหมือนไปเจอแฟนเก่าเลย
ในปี 2009 หนังเรื่อง Slumdog Millionaire ของแดนนี่ได้รับรางวัล และยวนได้รับเชิญให้เป็นผู้มอบรางวัล ยวนตัดสินใจไปมอบให้เขาพร้อมกับกล่าวสปีชใจความว่า การเล่นหนังของแดนนี่ทำให้เขาได้ค้นหาความลึกและความจริงของชีวิต เขารู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่ได้เล่นหนังที่แดนนี่กำกับ และเขาชื่นชมในทุกความกล้าหาญของแดนนี่ การที่จู่ๆ คนเรามาทำหนังว่าด้วยเด็กติดยาในสกอตแลนด์นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และเขาก็จบท้ายสปีชนั้นว่า “ผมรักและคิดถึงคุณเสมอ”
ความสัมพันธ์ของนักแสดงและผู้กำกับนั้นจริงๆ แล้วเป็นเรื่องพิเศษ ยิ่งดังมาพร้อมๆ กันยิ่งพิเศษ ยามที่ผู้กำกับเริ่มทำหนังเรื่องแรกนั้น พวกเขาต้องการนักแสดงที่พร้อมจะล่มหัวจมท้ายไปกับโปรเจกต์แห่งความเสี่ยง หนังเรื่องแรกคือความลำบากเสมอสำหรับผู้สร้างและนักแสดง เพราะทุนสร้างที่น้อยนิด ทำให้สภาพการถ่ายทำต้องขัดสน และหนังที่ไม่มีทุนสร้าง เนื้อหามักจะเรียกร้องพลังงานความสามารถของนักแสดงเป็นพิเศษ เพราะหนังทั้งเรื่องอาจเกี่ยวกับตัวละครไม่กี่คน หรือดำเนินเรื่องด้วยตัวละครหลักคนเดียว จึงไม่น่าแปลกถ้าหนังเรื่องแรกที่ประสบความสำเร็จมากๆ ทุกคนจะผูกพันกับหนังเรื่องนั้นโดยอัตโนมัติ
แต่ยิ่งหนังประสบความสำเร็จเท่าไร ปัจจัยที่จะมาท้าทายความสัมพันธ์มากมายก็ยิ่งตามมาพัวพัน ผู้กำกับอาจจะมีคนให้เงินมาทำหนังที่ใหญ่ขึ้น แน่นอนว่าผู้กำกับทุกคนย่อมอยากทำหนังที่ใหญ่ขึ้น แต่หนังที่ใหญ่ขึ้นนั้นก็มาพร้อมกับความคาดหวัง (ที่จะไม่เจ๊ง) มากขึ้น และความพยายามที่จะไม่เจ๊งมากขึ้นก็นำมาสู่การที่ต้องใช้นักแสดงที่ปลอดภัยต่อรายได้ที่มากขึ้น
ไม่ใช่แค่ประเด็นเรื่องรายได้เพียงอย่างเดียว หนังเรื่องใหม่เรื่องนั้นอาจจะไม่เหมาะกับนักแสดงคู่บุญคนเก่าที่เติบโตและประสบความสำเร็จด้วยกันมาก็ได้ นั่นทำให้การพลัดพรากจากกันอาจเกิดขึ้น และคงเป็นเรื่องไม่ง่ายเท่าไรที่จะบอกกล่าวกับนักแสดง (จริงๆ แล้วไม่ต้องเป็นนักแสดงคู่บุญก็ได้นะ เอาการบอกลานักแสดงคนอื่นๆ ที่มาแคสต์แล้วเราไม่ได้เลือกเขานี่ก็ถือว่าลำบากใจมาก บางครั้งไม่ใช่ว่าเขาเล่นไม่ดี แต่บทมันยังไม่เหมาะกับเขาในเวลานี้เท่านั้นเอง)
ถ้าฟังความสองข้าง ทางฝั่งนักแสดงก็คงเห็นอีกอย่าง สิ่งที่ผู้กำกับว่าไม่เหมาะ นักแสดงอาจจะคิดว่าตัวเองเหมาะก็เป็นไปได้ แล้วยิ่งสมมติว่าหนังที่นักแสดงคนนั้นไม่ได้เล่นเกิดได้ออสการ์ขึ้นมา (แถมได้ออสการ์สาขานักแสดงอีก) ก็น่าจะยิ่งเกิดความรู้สึกอะไรบางอย่างไม่มากก็น้อย -เคสวุ่นๆ แบบนี้เคยเกิดขึ้นแล้วกับหนังเรื่อง La La Land ที่สุดท้ายไมล์ส เทลเลอร์ ซึ่งถูกวางตัวไว้ให้เป็นพระเอก ก็ไม่ได้มาเล่นในหนังซูเปอร์ฮิตของเดเมียน ชาเซลล์ เรื่องนี้ ทั้งๆ ที่โตมาจาก Whiplash ด้วยกัน โดยที่ต่างคนก็ต่างมีเหตุผลจากฝ่ายตัวเอง ทั้งเรื่องคิวและเรื่องเงินทองที่ไมลส์เรียกร้องเยอะเกินไป สุดท้ายกลายเป็นว่าไรอัน กอสลิง ก็จับมือทำงานกับเดเมียนในหนังยาวเรื่องต่อไปของเขาต่อเลย
ท่ามกลางเคสความขัดแย้ง เราก็ยังมีผู้กำกับไม่น้อยที่สามารถหาที่ทางให้กับนักแสดงคู่บุญมาได้โดยตลอด บางครั้งอาจไม่ใช่ตัวหลัก แต่ก็โผล่มาเป็นบทสมทบแทน หรือบางครั้งก็ได้ทำงานด้วยกันมานานจนสมควรแก่เวลา เหมือนที่มาร์ติน สกอร์เซซี มักจะมีลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ มาแทนโรเบิร์ต เดอ นีโร หรือผู้กำกับอย่างสตีฟ แม็กควีน (Shame และ 12 Years A Slave) ก็ทำงานกับไมเคิล ฟาสเบนเดอร์ มาโดยตลอดเช่นกัน
แต่สุดท้ายท้ายสุด ไม่ว่าจะเกิดไรขึ้น ทั้งแดนนี่และยวนก็ต่างแยกทางกันไปมีเส้นทางของตัวเอง ก่อนที่จะได้กลับมาเจอกันในหนัง T2 ภาคต่อของ Trainspotting ที่เพิ่งฉายเสร็จไปไม่นาน บางครั้งมนุษย์ก็อาจต้องการเวลาในการเรียนรู้ตัวเองและคนอื่น เราอาจจะกำกับหนังได้ หรือเราอาจจะแสดงหรือกลายร่างเป็นคนอื่นได้ แต่กับชีวิตนั้นมันยากที่จะกำกับหรือแสร้งทำเป็นสมูธ
Cover Photo: www.scmp.com