BDMS คาดรายได้ปีนี้ดิ่ง 10% จากผลกระทบโควิด-19 ฉุดผู้ป่วยต่างชาติลดลง เร่งลดต้นทุน 2 พันล้านบาท รักษาสมดุลการเงินด้าน BCH คงเป้าทั้งปีโต 10% ใช้งบลงทุนก่อสร้างโรงพยาบาลใหม่ปีนี้ 1,160 ล้านบาท และปีหน้าอีก 300 ล้านบาท ด้านโบรกฯ ส่วนใหญ่เชียร์ซื้อทั้งคู่ มองตรงกันครึ่งปีหลังฟื้น ธุรกิจเติบโตดีในระยะยาว
BDMS คาดรายได้ปีนี้ดิ่ง 10% เร่งลดต้นทุน 2 พันล้านบาท
แหล่งข่าวบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS เปิดเผยกับสำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทยว่า แนวโน้มรายได้ปี 2563 จะลดลง 10% จากปี 2562 ที่มีรายได้ 92,534 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการโรงพยาบาลช่วงไตรมาส 1/63 และ 2/63 ลดลง
“จำนวนผู้ใช้บริการโรงพยาบาล BDMS ได้รับผลกระทบตั้งแต่ช่วงไตรมาส 1/63 โดยหนักสุดในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และลามมาถึงช่วงไตรมาส 2/63 แต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา มีจำนวนผู้ใช้บริการโรงพยาบาล BDMS น้อยกว่าช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาด้วยซ้ำ” แหล่งข่าวกล่าว
ขณะเดียวกัน จำนวนผู้ใช้บริการโรงพยาบาล BDMS ช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ มีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าช่วง 2 เดือนก่อนหน้า จากมาตรการคลายล็อกดาวน์ของรัฐบาล แต่ยังมีจำนวนลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย BDMS ยังไม่สามารถประเมินจำนวนผู้ใช้บริการได้ว่าจะกลับมาฟื้นตัวช่วงไหน เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อจำนวนผู้ใช้บริการโรงพยาบาล
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรายได้ของ BDMS มาจากคนไข้ในประเทศ 70% และคนไข้ต่างชาติ 30% โดยจำนวนคนไข้ต่างชาติที่เดินทางมารักษาตัวจากต่างประเทศคิดเป็น 15% จากสัดส่วน 30% ซึ่งหากยังไม่สามารถทำการบินระหว่างประเทศได้ รายได้ของ BDMS จะลดลงอย่างน้อย 15% จากสัดส่วนรายได้คนไข้ดังกล่าว
ทั้งนี้ จากที่คาดว่ารายได้จะลดลง 10% ทำให้ BDMS ต้องลดต้นทุนทางการเงินให้ได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท เพื่อรักษาสมดุลการเงิน โดยการลดต้นทุนดังกล่าว BDMS ได้งดจ่ายค่าทำงานล่วงเวลาแก่พนักงานทุกคน (OT), Leave without Pay พนักงานจากทุกแผนกตามความสมัครใจ รวมถึงชะลอการจ้างงานพนักงาน Outsource บางส่วน เช่น ลดจำนวนแม่บ้าน เป็นต้น
อนึ่ง BDMS เป็นผู้ประกอบการธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ของประเทศ โดยมีโรงพยาบาลเครือข่ายในไทยและกัมพูชา ดำเนินการภายใต้ชื่อโรงพยาบาล 6 กลุ่ม คือ กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ, กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช, โรงพยาบาลบี เอ็น เอช, กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท, กลุ่มโรงพยาบาลเปาโล และกลุ่มโรงพยาบาลรอยัล
BCH คงเป้ารายได้ปีนี้โต 10% ลุ้นครึ่งปีหลังฟื้น หลังโควิด-19 คลี่คลาย
ภูมิพัฒน์ ฉัตรนรเศรษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน และนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH เปิดเผยว่า แนวโน้มไตรมาส 2/63 คาดผู้ใช้บริการจะกลับมาดีขึ้นหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และภาครัฐผ่อนคลายมาตรการ จากที่ไตรมาส 1/63 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ได้ปรับกลยุทธ์หาช่องทางเพื่อสร้างรายได้เข้ามาเสริม เช่น ให้บริการตรวจเชื้อโควิด-19 ปัจจุบันมียอดผู้ป่วยที่ได้รับการตรวจกว่า 60,000 ราย ทำให้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้เข้ามาทดแทนจากการตั้งเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลจากงบประมาณของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ชดเชยรายได้ของคนไข้ทั่วไปลดลง
“รายได้ในนี้ยังคงเดิมเติบโต 10% แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในไตรมาส 1/63 ทำให้ผู้ใช้บริการมีจำนวนลดลง โดยเฉพาะผลกระทบของโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล ที่ลูกค้าชาวต่างชาติหายไป จากก่อนหน้านี้มีกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการในโรงพยาบาลดังกล่าวมากกว่า 70%” ภูมิพัฒน์กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทยังต้องมีการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น ลดค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมการแพทย์ลง และจ่ายค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ตามปริมาณงาน พร้อมกับการจัดตารางแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์มากขึ้น และพยายามลดการจ่ายโอที ส่วนการลงทุนใหม่ๆ บางรายการที่ยังไม่ได้เริ่มลงทุนจะพักแผนการลงทุนออกไปก่อน เพื่อรอดูจังหวะที่เหมาะสมอีกครั้ง
สำหรับโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลในปัจจุบันที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คือโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 4/63 ซึ่งหากโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ปราจีนบุรี เปิดให้บริการในช่วงปลายปีนี้ จะทำให้มีคนไข้ประกันสังคมเพิ่มเข้ามาอีก 100,000 ราย
เลื่อนเปิดโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ เวียงจันทน์ สปป.ลาว 2 เดือน
ส่วนโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ เวียงจันทน์ สปป.ลาว ปัจจุบันการก่อสร้างได้ล่าช้าออกไป 2 เดือน เนื่องจากการล็อกดาวน์ประเทศทั้งไทยและ สปป.ลาว ทำให้ทีมงานก่อสร้าง ช่าง วิศกร ไม่สามารถเดินทางเข้าไปก่อสร้างโรงพยาบาลได้ ซึ่งปัจจุบันความคืบหน้างานก่อสร้างอยู่ที่ 57% ทำให้โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ เวียงจันทน์ อาจจะต้องเลื่อนเปิดไปในช่วงปลายไตรมาส 1/64 หรือต้นไตรมาส 2/64 จากเดิมที่คาดไว้ในช่วงต้นไตรมาส 1/64 โดยงบลงทุนในการก่อสร้างทั้งหมดปีนี้อยู่ที่ 1,160 ล้านบาท และปีหน้าอีก 300 ล้านบาท
“ครึ่งปีหลังนี้จะมีความชัดเจนเกี่ยวกับความคืบหน้าในการลงทุนศูนย์มะเร็ง เพื่อรองรับคนไข้ประกันสังคมของโรงพยาบาลในเครือ โดยที่สัดส่วนคนไข้ประกันสังคมที่รักษามะเร็งมีสัดส่วน 90% จากจำนวนคนไข้ประกันสังคมที่ลงทะเบียนรักษาในเครือโรงพยาบาลในปัจจุบันที่ 888,000 ราย ซึ่งใกล้ 1 ล้านราย ทำให้บริษัทเล็งเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนศูนย์มะเร็งของบริษัทเอง” ภูมิพัฒน์กล่าว
อนึ่ง BCH ดำเนินธุรกิจในรูปแบบกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งมีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 12 แห่ง และโพลีคลินิก 1 แห่ง ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อให้บริการทางการแพทย์ในระดับปฐมภูมิ-ตติยภูมิ ภายใต้ 4 กลุ่มโรงพยาบาล คือ 1. โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล เพื่อให้บริการแก่กลุ่มคนไข้เงินสดระดับบนและคนไข้ชาวต่างชาติ 2. กลุ่มโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อให้บริการแก่กลุ่มคนไข้เงินสดระดับกลางบน 3. กลุ่มโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ เพื่อให้บริการแก่กลุ่มคนไข้เงินสดระดับกลางและคนไข้ในโครงการประกันสังคม 4. กลุ่มโรงพยาบาลการุญเวช เพื่อให้บริการแก่กลุ่มคนไข้ในโครงการประกันสังคม
บล.เอเซียพลัส มอง BDMS ยัง Laggard หุ้นตัวอื่น
บล.เอเซียพลัส แนะนำ ซื้อ BDMS ประเมิน Fair Value 23.80 บาท มองเป็นโอกาสลงทุนหุ้นพื้นฐานแกร่ง คาดหวังฟื้นตัวจากโควิด-19 ได้เร็ว ระยะยาวจะเป็นหุ้นที่เติบโตมั่นคงที่สุดในกลุ่มฯ ราคายัง Laggard เป็นตัวเลือกลงทุนยาว
ระยะสั้น BDMS อาจได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ โดยเฉพาะในส่วนลูกค้าต่างชาติ Fly-in (15% ของรายได้) แต่เชื่อว่าสะท้อนในราคาหุ้นแล้ว ขณะที่เริ่มเห็นปัจจัยบวกต่อการฟื้นตัวมากขึ้น จากทั้งในกลุ่มผู้ป่วยไทย และการปรับตัวควบคุมค่าใช้จ่าย โดยในส่วนผู้ป่วยไทย แม้ลดลงหนักในเดือนเมษายน 2563 แต่กลับมาเติบโต mom ได้รวดเร็วในเดือนพฤษภาคม 2563 ประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 ในไทยที่ยังควบคุมได้ดี
จึงเชื่อว่านับจากนี้ จะสามารถคาดหวังการฟื้นตัวได้เป็นลำดับ ขณะที่กลุ่มลูกค้า Fly-in (Medical Tourism) น่าจะเห็นการกลับมาใน 2H63 และปี 2564 โดยหากพิจารณาจาก 2 ส่วนคือ (1) ฐานลูกค้าหลักของโรงพยาบาลที่ไม่อยู่ในประเทศที่มีการระบาดสูง น่าจะเห็นการกลับมาเปิดประเทศได้เป็นกลุ่มแรกๆ ทั้งในเมียนมาและกัมพูชา ซึ่งแทบไม่มีผู้ติดเชื้อใหม่แล้ว รวมถึงตะวันออกกลาง โดยประเทศที่มีผู้ป่วยมากสุดคือกาตาร์ ที่ 4.9 หมื่นราย เป็นอันดับที่ 20 ของโลก) และ (2) กลุ่มโรงพยาบาลคู่แข่งในต่างประเทศ เช่น อินเดีย สิงคโปร์ ที่ปัจจุบันการระบาดยังไม่คลี่คลาย ทำให้ BDMS น่าจะเป็นตัวเลือกสำหรับการเดินทางมารักษา
ภาพรวมผลประกอบการคาดจะเห็นจุดต่ำสุดในเดือนเมษายน 2563 จึงยังคงคาดกำไรปี 2563 ลดลง 21.9% แต่จะพลิกมาเติบโตสูง 25.7% ในปี 2564 นอกจากนี้ ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง 17% YTD ถือว่ายัง Laggard กลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ตัวอื่น สวนทางภาพธุรกิจระยะยาวที่ยังเป็นผู้นำกลุ่มชัดเจน ยังน่าสนใจลงทุนแนะนำซื้อ
บล.บัวหลวงฯ มองว่าจำนวนผู้ป่วยของ BDMS ได้ผ่านจุดต่ำสุดในเดือนเมษายนที่ผ่านมาไปแล้ว และเห็นการเริ่มฟื้นตัวในเดือนพฤษภาคมนี้ นอกจากนั้นคาดว่าตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป การฟื้นตัวจะนำโดยลูกค้าชาวไทย และกลุ่มชาวต่างชาติที่อาศัยในไทย และหลังจากนั้นจะตามมาด้วยลูกค้าจากกลุ่มประเทศ CLMV
ส่วนลูกค้าตะวันออกกลางและชาวจีน คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4/63 หลังจากที่มีการเปิดให้เดินทางระหว่างประเทศได้ นอกจากนี้ บล.บัวหลวงฯ ยังคาดว่าจะเห็นมาตรการรัฐบาลที่จะเข้ามาหนุนอุตสาหกรรมโรงพยาบาลด้วย ซึ่ง บล.บัวหลวงฯ ยังแนะนำ ‘ซื้อ’ ราคาเป้าหมาย 25 บาท โดยมองว่าจะเป็นผู้นำการฟื้นตัวของกลุ่มโรงพยาบาลหลังจากสถานการณ์โควิด-19 จบลง
บล.เอเชีย เวลท์ คาดรายได้ BCH ฟื้นครึ่งหลัง-กำไรทั้งปีคาดโต 10.7%
บล.เอเชีย เวลท์ ประเมินการเติบโตของรายได้ปี 2563 อย่างอนุรักษนิยมที่ 8.8% YoY อยู่ที่ 9,660 ล้านบาท และประเมินกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,256 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.7% YoY โดยคาดว่ารายได้จะฟื้นตัวในช่วง 2H63 หลังสถานการณ์โควิด-19 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น รวมถึงมาตรการผ่อนคลายล็อกดาวน์ช่วยหนุนธุรกิจโรงพยาบาลปรับตัวตามสถานการณ์ โดยเพิ่มบริการ Home Service ส่งเจ้าหน้าที่ให้บริการถึงบ้าน อาทิ กายภาพบำบัด ตรวจสุขภาพ ทำแผล ฉีดวัคซีน เป็นต้น รวมถึงบริการส่งยาทางไปรษณีย์ เนื่องจากผู้ป่วยมีความกังวลการติดเชื้อ และหลีกเลี่ยงการเดินทางมายังโรงพยาบาล เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ป่วยที่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ คาดว่าธุรกิจยังเติบโตได้ดีในระยะยาว แนะนำ ‘ซื้อ’ ให้ราคาเป้าหมาย 20.60 บาท อิงวิธี DCF (WACC 7.0% และ Terminal Growth 3%)
บล.บัวหลวง คงมุมมอง Neutral เนื่องจากกำไรได้ทรงตัวในปี 2563 อัตราการเติบโตของกำไรปี 2564 ดูน้อยสุดในกลุ่ม กอปรกับมีความเสี่ยงของอัตรากำไรจากการเปิดโรงพยาบาลใหม่ จนถึง 1Q64 จึงแนะนำ ‘ถือ’ ราคาเป้าหมายที่ 15 บาท
11 โบรกเกอร์ส่องกล้องหุ้น BCH
บล.บัวหลวง แนะนำ ‘ถือ’ ราคาเป้าหมายที่ 15 บาท
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส แนะนำ ‘ซื้อ’ ราคาพื้นฐาน 17 บาท
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) แนะนำ ‘ซื้อ’ ราคาเป้าหมายที่ 20.00 บาท
บล.เอเชีย เวลท์ แนะนำ ‘ซื้อ’ ราคาเป้าหมาย 20.60 บาท อิงวิธี DCF
บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำ ‘ซื้อ’ ราคาเป้าหมาย 16 บาท
บล.ยูโอบีเคย์เฮียน แนะนำ ‘ซื้อ’ ราคาเป้าหมายใหม่ 18.50 บาท
บล.โนมูระ พัฒนสิน แนะนำ ‘ซื้อ’ TP ที่ 16.50 บาท
บล.ฟิลลิป แนะนำ ‘ซื้อ’ ราคาพื้นฐานเดิมที่19 บาท
บล.ทรีนีตี้ แนะนำ ‘ซื้อ’ ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 19.90 บาท
บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี แนะนำ ‘ถือ’ ราคาเป้าหมาย 13.70 บาท
บล. หยวนต้า(ประเทศไทย) แนะนำ ‘ซื้อ’ มูลค่าพื้นฐานที่ 17.50 บาท
8 โบรกเกอร์ส่องกล้องหุ้น BDMS
บล.บัวหลวง แนะนำ ‘ซื้อ’ ราคาเป้าหมายที่ 25 บาท
บล.เอเชีย เวลท์ แนะนำ ‘ซื้อ’ ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 24.20 บาท
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส แนะนำ ‘ซื้อ’ ราคาพื้นฐาน 25 บาท
บล.โนมูระ พัฒนสิน แนะนำ ‘NEUTRAL’ TP20F ที่ 22.0 บาท
บล.เคจีไอ แนะนำ ‘ซื้อ’ ราคาเป้าหมาย 27.00 บาท
บล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำ ‘ซื้อ’ ราคาเป้าหมาย 23 บาท
บล.ยูโอบีเคย์เฮียน แนะนำ ‘ขาย’ ราคาเป้าหมายใหม่ 17.00 บาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะนำ ‘เก็งกำไร’ มูลค่าพื้นฐานที่ 20.50 บาท
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
เรียบเรียง: ประน้อม บุญร่วม