เกิดอะไรขึ้น:
InnovestX Research ได้จัดทำบทวิเคราะห์พรีวิวผลประกอบการ 3Q66 ของ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) ซึ่งคาดว่าจะประกาศผลประกอบการวันที่ 8 พฤศจิกายน 2566
โดยคาดการณ์กำไรสุทธิ 3Q66 ของ BCP ที่ 4.6 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 86%YoY และ 902%QoQ) ได้รับการสนับสนุนจากค่าการกลั่นพื้นฐาน (Operating GRM) ที่เพิ่มขึ้นสู่ 14.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (เพิ่มขึ้น 28%YoY และ 207%QoQ) ซึ่งสูงกว่า Singapore GRM ที่ 9.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลอย่างมาก เทียบกับ Premium เฉลี่ย 30% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
สะท้อนถึงความยืดหยุ่นในการปรับผลผลิตเพื่อเพิ่มผลกำไรสูงสุด บริษัทปรับเปลี่ยนผลผลิตจากน้ำมันเตาที่มีกำมะถันต่ำมากมาเป็นน้ำมันดีเซลและน้ำมันเครื่องบิน ปริมาณน้ำมันดิบที่นำเข้ากลั่นลดลง 6%YoY และ 2%QoQ สู่ 116.4kbd (อัตราการใช้กำลังการผลิต 97%) โดยมีสาเหตุมาจากการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนเป็นเวลา 20 วัน เพื่อเตรียมผลิตผลิตภัณฑ์ตามมาตรฐานยูโร 5 ที่จะเปิดตัวในเดือนมกราคม 2567
นอกจากนี้ คาดการณ์กำไรสินค้าคงเหลือสุทธิที่ 4.3 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งมีขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงที่ 0.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลรวมอยู่ด้วย สถานะการป้องกันความเสี่ยงของ BCP มีน้อยมากที่เพียง 5% ดังนั้นขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยง Crack Spread จึงมีจำนวนน้อยมากท่ามกลาง Crack Spread ของน้ำมันดีเซลและน้ำมันเครื่องบินที่ปรับตัวขึ้นแรงใน Spot Market นอกจากนี้ BCP ก็เริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก ESSO ตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 (รับรู้ส่วนแบ่งกำไร 1 เดือนใน 3Q66) แล้วด้วย
อย่างไรก็ดี แม้ว่าค่าการตลาดลดลง 12%QoQ โดยมีสาเหตุมาจากช่วงโลว์ซีซันในตลาดค้าปลีกน้ำมัน แต่คาดว่ากำไรของธุรกิจการตลาดจะได้รับการสนับสนุนจากกำไรสต๊อก บริษัทกล่าวว่าปริมาณการขายโดยรวมลดลง 0.4%QoQ โดย Retail Segment ลดลง 1.6% ในขณะที่ Industrial Segment เพิ่มขึ้น 3.3% โดยส่วนใหญ่เป็นน้ำมันเครื่องบิน
ด้านกำไรจากธุรกิจโรงไฟฟ้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 85%QoQ จากปริมาณการขายที่สูงขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังน้ำใน สปป.ลาว และส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้น 25% ในโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงอีก 2 แห่งในสหรัฐอเมริกา หลังจากเข้าซื้อเสร็จในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้ยังคาดว่าธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติจะทำกำไรได้มากขึ้นใน 3Q66 จากราคาน้ำมันและปริมาณการขายที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ ประเมินได้ว่า ASP จะเพิ่มขึ้น 13.2%QoQ โดยได้แรงหนุนจากราคาผลิตภัณฑ์ประเภทของเหลวที่สูงขึ้น (เพิ่มขึ้น 27%QoQ) ในขณะที่ราคาก๊าซลดลง 24%QoQ ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติยังบันทึกรายการด้อยค่าของสินทรัพย์ราว 1.6-1.7 พันล้านบาท (ก่อนภาษี) สืบเนื่องมาจากปริมาณสำรองปิโตรเลียมที่โครงการ Yme (OKEA ถือหุ้น 15%) ปรับตัวลดลงด้วย
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น BCP ปรับลง 3.64%MoM อยู่ที่ระดับ 39.75 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 8.64%MoM อยู่ที่ระดับ 1,391.03 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:
แนวโน้มผลประกอบการ 4Q66 แม้ Singapore GRM ปรับตัวลดลงในระยะหลังนี้ (ลดลง 44%MoM ในเดือนตุลาคม 2566) แต่คาดว่ากำไรปกติของ BCP จะได้รับการสนับสนุนจากปริมาณน้ำมันดิบที่นำเข้ากลั่นที่สูงขึ้นบริษัท และส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก ESSO ซึ่งกลับมาดำเนินการตามปกติแล้ว หลังจากหยุดซ่อมบำรุงตามแผนตั้งแต่เดือนกันยายนถึงกลางเดือนตุลาคม 2566 ในขณะที่คาดว่าธุรกิจการตลาดจะปรับตัวดีขึ้น QoQ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยวในประเทศไทย และโดยปกติแล้วปริมาณการขายในไตรมาส 4 มักจะเพิ่มขึ้น 10-15%QoQ
นอกจากนี้ราคาน้ำมันสูงยังจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของ OKEA ด้วย เนื่องจากผลิตภัณฑ์ประเภทของเหลวคิดเป็น 77% ของปริมาณการขายทั้งหมด บวกกับปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นจากสินทรัพย์ใหม่ (ถือหุ้น 28% ใน Statfjord)
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน InnovestX Research ยังคงเรตติ้ง Outperform ราคาเป้าหมายที่ 51 บาทต่อหุ้น (สิ้นปี 2567) อิงกับวิธี Sum-of-the-parts ซึ่งรวมมูลค่าจากการถือหุ้น 65.99% ใน ESSO เข้ามาด้วย โดยคิดเป็น P/BV ที่ 0.8 เท่า (-0.8SD) และ EV/EBITDA ที่ 3.5 เท่า แม้ราคาหุ้น BCP ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 26%YTD Outperform หุ้นอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน (ลดลง 25% โดยเฉลี่ย) และ SET (ลดลง 17%) แต่ Valuation ยังไม่แพงที่ P/E (ปี 2566) ระดับ 5.3 เท่า และ P/BV 0.8 เท่า (-0.8SD)
นอกจากนี้ยังคาดการณ์ถึงผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจในระดับ 5.5% (ปี 2566) และจะเพิ่มขึ้นสู่ 8% ในปี 2567 เนื่องจากบริษัทจัดหาเงินทุนสำหรับซื้อกิจการ ESSO ไว้เรียบร้อยแล้ว
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปและ GRM ในขณะที่ความผันผวนของราคาน้ำมันอาจส่งผลให้ขาดทุนสต๊อกเพิ่มขึ้น
ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ คือ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และรัฐบาลเข้าแทรกแซงราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ