‘เสือใต้’ บาเยิร์น มิวนิก โชว์ความต่างของระดับฝีเท้าด้วยการถล่มบาร์เซโลนาขาดลอยถึง 8-2 ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา (14 สิงหาคม)
เกมบิ๊กแมตช์ประจำรอบนี้เป็นการพบกันของสองทีมระดับชั้นนำของยุโรป โดยก่อนเกม ทางด้านบาร์ซาออกมาแถลงว่านักเตะที่ติดเชื้อโควิด-19 คือ ซามูเอล อุมติตี้ ปราการหลังของทีมที่หมดสิทธิ์ช่วยเพื่อนในเกมนี้ ก่อนที่เกมจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเร้าใจ เมื่อบาเยิร์นใช้เวลาแค่ 4 นาทีทำประตูขึ้นนำไปก่อน 1-0 จากการยิงของ โธมัส มุลเลอร์
จากนั้นอีก 3 นาที บาร์ซาได้ประตูตีเสมอจากการสกัดเข้าประตูตัวเองของ ดาวิด อลาบา ทำให้สกอร์กลับมาเสมอกัน 1-1 แต่กลับเป็นการกระตุกหนวดเสือ เมื่อบาเยิร์นใช้เวลา 9 นาทีทำ 3 ประตูรวดจาก อีวาน เปริซิช นาทีที่ 22, แซร์จ นาบรี นาทีที่ 28 และมุลเลอร์ยิงประตูที่ 2 ของตัวเองได้ในนาทีที่ 31 ก่อนที่เกมจะจบครึ่งแรกที่สกอร์ 4-1
ครึ่งหลังบาร์ซาเหมือนจะมีความหวังขึ้นมา เมื่อ หลุยส์ ซัวเรซ ได้หลุดไปลากหลบ เฌอโรม บัวเต็ง ก่อนยิงไล่คืนมาเป็น 4-2 ในนาทีที่ 57 แต่บาเยิร์นก็หนีไปเป็น 5-2 อีกในอีก 6 นาทีต่อมา เมื่อ อัลฟอนโซ เดวีส์ แบ็กซ้ายโชว์สเตปโยกหลอก เนลสัน เซเมโด ก่อนจะแหวกเข้าไปถึงกรอบเขตโทษและไหลใส่พานให้ โจชัว คิมมิช เข้าฮอสสบายๆ
ถึงตรงนี้บาร์ซาไม่เหลือความหวังแล้ว และยังไม่เหลือสภาพด้วย เมื่อบาเยิร์นไม่ปรานี ไล่ยิงในช่วงท้ายเกมอีก 3 ประตู โดย ฟิลิปป์ คูตินโญ ดาวเตะของบาร์ซาเองที่ถูกปล่อยให้ยืมตัวมา ได้เปิดให้ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี โหม่งในนาทีที่ 82 จากนั้นมายิงเองอีก 2 ประตูในนาทีที่ 85 และ 89 ทำให้สุดท้ายแชมป์บุนเดสลีกาชนะไปด้วยสกอร์ถึง 8-2 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศไปรอพบผู้ชนะระหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และโอลิมปิก ลียง
โดยสกอร์นี้ยังทำให้บาเยิร์นเป็นทีมแรกที่ยิงเกิน 5 ประตูในรอบน็อกเอาต์แชมเปียนส์ลีก ส่วนบาร์เซโลนา นี่คือความพ่ายแพ้สุดอัปยศที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เคยพ่ายเซบียา 0-8 ในรายการโกปา เดล เรย์ เมื่อปี 1946
ล่าสุดมีรายงานว่าบาร์เซโลนาตัดสินใจสั่งปลดโค้ช กีเก้ เซเตียน จากตำแหน่งทันที หลังเข้ามาทำทีมในช่วงเดือนมกราคม แต่ไม่สามารถนำทีมคว้าแชมป์รายการใดได้เลย โดยคาดว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้
