เกิดอะไรขึ้น:
ใน 1Q67 InnovestX Research คาดกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารจะเพิ่มขึ้น 5%YoY (NIM ดีขึ้น) และ 22%QoQ (Credit Cost และ OPEX ลดลงตามฤดูกาล) โดยธนาคารส่วนใหญ่จะรายงานกำไรเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ ทั้งนี้ เมื่อเทียบ QoQ คาดว่า KTB จะรายงานกำไรเติบโตแข็งแกร่งที่สุดที่ 72% (จาก Credit Cost ที่ลดลง) ตามด้วย KKP ที่ 70% (จากรายได้เงินปันผลที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลและขาดทุนรถยึดที่ลดลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้จากดัชนีราคารถมือสองที่ทำจุดต่ำสุดไปแล้ว)
ขณะที่เมื่อเทียบ YoY คาดว่า TTB จะรายงานกำไรเติบโตแข็งแกร่งที่สุดที่ 35% โดยได้รับการสนับสนุนจากผลประโยชน์ทางภาษี และ KKP จะเป็นธนาคารที่รายงานกำไรลดลงมากที่สุดที่ -45% โดยมีสาเหตุมาจาก Credit Cost ที่สูงขึ้นและกำไรจากเงินลงทุนที่ลดลง
สำหรับรายการที่สำคัญใน 1Q67 มีดังนี้
- Credit Cost: คาดว่า NPL จะเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากแรงกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย การปรับเพิ่มอัตราการชำระสินเชื่อที่ปรับโครงสร้างแล้ว และการสิ้นสุดระยะเวลาการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การจัดชั้นสินเชื่อและการกันเงินสำรองเมื่อสิ้นปี 2566 และคาดว่าธนาคารส่วนใหญ่จะเร่งตั้งสำรองเพิ่มใน 1Q67 สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคที่อ่อนแอ ดังนั้นจึงคาดว่า Credit Cost ของกลุ่มธนาคารจะเพิ่มขึ้น YoY และลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ดัชนีราคารถยนต์มือสองเพิ่มขึ้น MoM (แต่ยังคงลดลงอย่างมาก YoY) ในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ซึ่งน่าจะช่วยให้ขาดทุนรถยึดปรับตัวลดลง
- NIM: คาดว่า NIM จะลดลงเล็กน้อยที่ 3-4 bps QoQ ใน 1Q67 เนื่องจากจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มขึ้น
- การเติบโตของสินเชื่อ: คาดว่าสินเชื่อจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัวใน 1Q67 โดยใน 2M67 สินเชื่อขยายตัวเพียง 0.1%YoY และลดลง 0.4%QTD
- Non-NII: ใน 1Q67 คาดว่าธนาคารส่วนใหญ่จะรายงาน Non-NII ลดลงทั้ง YoY และ QoQ โดยเกิดจากรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลงและกำไรจากเครื่องมือทางการเงินเพียงเล็กน้อย
- อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้: คาดว่าอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะลดลง QoQ ตามฤดูกาล และจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว YoY
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร (SETBANK) ปรับลง 0.47%, BBL ปรับลง 3.48% และ KTB ปรับขึ้น 1.84% ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 1.24%
แนวโน้มผลประกอบการปี 2567:
ด้วยแรงฉุดรั้งจาก NIM ที่แคบลง ทำให้คาดว่ากำไรของกลุ่มธนาคารจะเติบโต 5% ในปี 2567 ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของสินเชื่อที่ 3% Credit Cost ที่ลดลง 8 bps Non-NII ในระดับคงที่ และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ในระดับทรงตัว ใน 1Q67 คาดว่ากำไรรายไตรมาสจะทำจุดสูงสุดก่อนที่จะลดลงใน 2Q67-4Q67 โดยคาดว่ากำไร 2Q67 และ 3Q67 จะได้รับผลกระทบจาก NIM ที่แคบลง อันเป็นผลมาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 50 bps ใน 1H67 ในขณะที่คาดว่ากำไร 4Q67 จะลดลง QoQ โดยมีสาเหตุมาจาก OPEX ที่เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล
อย่างไรก็ดี ยังคงเลือก BBL (เรตติ้ง Outperform ราคาเป้าหมาย 185 บาทต่อหุ้น) และ KTB (เรตติ้ง Outperform ราคาเป้าหมาย 22 บาทต่อหุ้น) เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร โดยได้รับการสนับสนุนจาก Valuation ที่น่าสนใจและความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์, ความเสี่ยงด้าน NIM จากการลดอัตราดอกเบี้ยและการขยายสินเชื่อได้ช้ากว่าคาด เนื่องจากความต้องการสินเชื่อชะลอตัวและการแข่งขันสูง รวมถึงตลาดทุนผันผวน