วิเรขา สันตะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่าความคืบหน้าการช่วยเหลือลูกหนี้และปรับโครงสร้างหนี้ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยปรับรูปแบบการช่วยเหลือจากเดิมเป็นวงกลางมาเป็นรูปแบบเฉพาะเจาะจง โดยเปิดให้ปรับโครงสร้างหนี้ถึงสิ้นปีนี้ ขณะที่กลุ่มที่ยังได้รับผลกระทบ เช่น ท่องเที่ยว โรงแรม ฯลฯ สามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้ถึงเดือนมิถุนายน 2564
ทั้งนี้ในเดือนกรกฎาคม 2563 มีลูกหนี้เข้ารับการช่วยเหลือมากที่สุดอยู่ที่ 7.2 ล้านล้านบาท และในเดือนตุลาคม 2563 ลดลงสู่ระดับ 6 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 45% และลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์ราว 55% เฉพาะส่วนธนาคารพาณิชย์มีมูลหนี้รวม 3.33 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นลูกหนี้ธุรกิจ 63% คิดเป็น 2.12 ล้านล้านบาท ส่วนลูกหนี้รายย่อย 37% คิดเป็น 1.23 ล้านล้านบาท
“ในส่วนลูกหนี้ธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ที่กว่า 66% สามารถกลับมาชำระหนี้ตามปกติ และอีก 32% ต้องปรับโครงสร้างหนี้ ขณะที่อีก 2% ยังไม่สามารถติดต่อได้ราว 30,000 ล้านบาท”
ขณะที่ลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์รายย่อยสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติอยู่ที่ 70% และมี 29% ที่ต้องปรับโครงสร้างหนี้ เช่น การลดค่างวด หรือให้จ่ายดอกเบี้ยแค่บางช่วง ขณะเดียวกันมีลูกหนี้ที่ขาดการติดต่อราว 1% หรือ 12,000 ล้านบาท โดยธนาคารพาณิชย์มีการติดต่อลูกหนี้ทั้งทาง SMS และเจ้าหน้าที่ดูสินเชื่อ โดยจำนวนลูกหนี้ที่ติดต่อไม่ได้ลดลงเรื่อยๆ
“ปัจจุบันลูกหนี้ธุรกิจที่เข้าโครงการช่วยเหลือฯ และปรับโครงสร้างหนี้สามารถกลับมาจ่ายหนี้ได้ 92-95% ของจำนวนสินเชื่อธุรกิจไม่ถึง 100 ล้านบาท ส่วนอีก 5% (ราว 15,000 ล้านบาท) อาจใช้สิทธิ์พักหนี้ถึงเดือนมิถุนายน 2564 เช่น ท่องเที่ยว โรงแรม ซึ่งยังต้องดูเรื่องกระแสเงินสดอีก”
ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ในปัจจุบันพบว่าเป็นการยืดระยะเวลาในการจ่ายหนี้ออกไปเพื่อให้ค่างวดในการชำระลดลง โดยกลุ่มลูกหนี้ SMEs รายใหญ่ ธนาคารจะให้เวลายืดหนี้เฉลี่ย 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของลูกหนี้ ส่วน SMEs รายเล็กจะให้เฉลี่ยที่ 3-6 เดือน เพื่อให้ธนาคารสามารถติดตามสถานการณ์ลูกหนี้และให้ความช่วยเหลือได้เพิ่มเติมอย่างใกล้ชิด
ทางธนาคารแห่งประเทศไทยมองว่ามาตรการช่วยเหลือในรูปเฉพาะเจาะจงจะเป็นประโยชน์ในระยะยาว เพื่อให้การดูแลลูกหนี้และการปรับโครงสร้างหนี้สามารถปรับและช่วยเหลือผ่อนปรนลูกหนี้ได้ตรงจุด โดยเดือนสิงหาคมถึงกันยายนมีการออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมทั้ง DR Biz และการรวมหนี้ รวมถึงเดือนเมษายน 2564 จะมีการปรับปรุงการคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้และการตัดชำระหนี้เพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม กรณีการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ที่เกิดขึ้นทำให้มีความไม่แน่นอนสูง โดยสิ่งแรกที่ต้องทำคือด้านสุขภาพและการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง หากในสถานการณ์นี้ลูกหนี้ได้รับผลกระทบมากกว่าเดิมขอให้ติดต่อธนาคารเพื่อการจัดการหนี้ โดยอาจจะเป็นช่องทางออนไลน์และอื่นๆ
ทั้งนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจมีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิด รวมถึงตั้งทีมขึ้นเพื่อติดตามและทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
