เกิดอะไรขึ้น:
SCBS ได้รวบรวมข้อมูลยอดสินเชื่อกลุ่มธนาคารเดือนสิงหาคม 2564 พบว่าเติบโต 0.5%MoM ซึ่งมีทิศทางคละเคล้ากันในแต่ละธนาคาร โดย KTB มีอัตราการเติบโตแข็งแกร่งสุดที่ 2%MoM ซึ่งคาดว่ามาจากสินเชื่อภาครัฐฯ และตามด้วย SCB ที่สินเชื่อเติบโต 0.8%MoM ซึ่งมาจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อ SMEs
ขณะที่ BAY และ KKP มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อเล็กน้อย และธนาคารอื่นๆ มีสินเชื่อหดตัวลง MoM หากพิจารณาใน 3Q64 ยอดสินเชื่อของกลุ่มธนาคารเติบโต 0.8%QTD บ่งชี้ว่าอัตราการเติบโตของสินเชื่อ QoQ ใน 3Q64 มีแนวโน้มชะลอตัวลงจาก 2Q64 ที่เติบโต 1.9%QoQ
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มธนาคาร (SETBANK) ปรับตัวขึ้น 10.5%MoM ดีกว่า SET Index ที่ปรับตัวขึ้น 4.3%MoM สู่ระดับ 1,619.59 จุด (22 กันยายน)
มุมมองระยะสั้น:
SCBS คาดแนวโน้มกำไรของกลุ่มธนาคาร 2H64 จะลดลง 29%HoH (แต่เพิ่มขึ้น 12%YoY) จากการตั้งสำรองที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น HoH เพื่อรองรับกับความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นเกี่ยวกับคุณภาพสินทรัพย์ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดที่ยืดเยื้อ ด้าน Non-NII ก็มีแนวโน้มลดลงจากกิจกรรมทางธุรกิจที่ลดลงในช่วงล็อกดาวน์ ขณะที่ OPEX มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล
สำหรับแนวโน้มกำไรตลอดทั้งปี 2564 ของกลุ่มธนาคารจะเติบโต 21%YoY โดยได้ปัจจัยสนับสนุนหลักจาก Credit Cost ที่ลดลงเมื่อเทียบกับปี 2563 ซึ่ง SCBS คาดว่า Credit Cost โดยเฉลี่ยของกลุ่มจะลดลง 27 bps สู่ระดับ 1.61% ในปี 2564
มุมมองระยะยาว:
ด้านแนวโน้มกำไรปี 2565 ของกลุ่มธนาคาร SCBS คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2564 ที่อัตรา 18%YoY โดยยังคงได้แรงหนุนจาก Credit Cost ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ขณะที่จำนวนสินเชื่อจะเติบโตในอัตรา 4-5%YoY และ NIM จะอยู่ในระดับทรงตัว
นอกจากนี้ยังมี Upside Risk ต่อประมาณกำไรในปี 2565 จากการผ่อนผันการจัดชั้นหนี้ และการกันเงินสำรองสำหรับลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการปรับโครงสร้างหนี้แบบเบ็ดเสร็จในระยะยาว ซึ่งจะลดแรงกดดันต่อภาระการตั้งสำรองของธนาคาร