เมื่อวานนี้ (11 ก.ย.) กรุงเทพมหานคร ร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรภาครัฐและเอกชน จัดกิจกรรมรณรงค์ Bangkok Car Free Day 2019 ตามโครงการส่งเสริมการเดินทางอย่างยั่งยืน ภายใต้คำขวัญ ‘เดินทางร่วมกัน วันพาหนะส่วนรวม’ ขึ้นเพื่อลดปริมาณรถยนต์ในท้องถนน ลดปัญหาการจราจรติดขัด ช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศจากยานพาหนะ รวมทั้งยกระดับคุณภาพอากาศให้ดีขึ้น
โดย สกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยในงานแถลงข่าวว่า หลังจากที่กรุงเทพมหานครได้ประสบกับปัญหาด้านการจราจรติดขัดรุนแรง เป็นผลอันเนื่องมาจากความต้องการในการเดินทางของประชาชนที่เพิ่มมากขึ้น และการเดินทางยังต้องพึ่งพารถยนต์ส่วนบุคคลเป็นส่วนใหญ่
กรุงเทพมหานครจึงมุ่งหวังที่จะพัฒนาการเดินทางในกรุงเทพฯ และพื้นที่ต่อเนื่องให้เป็นไปด้วยความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย จึงมีแนวคิดที่จะพัฒนาระบบการจราจรและขนส่งอย่างยั่งยืน (Sustainable Transport) มาใช้รองรับปริมาณและความต้องการในการเดินทางของชาวกรุงเทพฯ ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยระบบการจราจรและขนส่งนี้จะถูกนำไปใช้ในหลายๆ มหานครทั่วโลก และได้ผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม
“เนื่องจากเป็นการเดินทางที่ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ใช้ระบบขนส่งสาธารณะและขนส่งมวลชนเป็นระบบการเดินทางหลัก จึงสามารถบรรทุกคนได้เป็นจำนวนมาก ช่วยแก้วิกฤตการจราจรบนท้องถนน อีกทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเป็นผลดีกับเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม ทางกรุงเทพมหานครยังมุ่งหวังให้ผู้ขับรถยนต์บางส่วนได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางเพื่อลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ช่วยลดภาวะโลกร้อน ลดปัญหามลพิษทางอากาศและเสียง บรรเทาปัญหาจราจร และตระหนักถึงความสำคัญ ความจำเป็นในการสนับสนุนการใช้ระบบขนส่งมวลชนเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ ต่อไป” สกลธีกล่าว
ทั้งนี้กำหนดจัดกิจกรรมรณรงค์ Bangkok Car Free Day 2019 จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 กันยายนนี้ เวลา 6.00 น. เป็นต้นไป ณ ลานสแควร์ A ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เขตปทุมวัน ซึ่งวันดังกล่าวถือเป็นวันปลอดรถสากล หรือ Word Car Free Day ที่เมืองใหญ่ทั่วโลกจะร่วมกันแสดงเจตนารมณ์ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล หันมาใช้รถขนส่งมวลชนเพื่อลดปริมาณรถยนต์ในท้องถนน อันส่งผลถึงการลดปัญหามลพิษทางอากาศจากยานพาหนะ
สำหรับเส้นทางรณรงค์ ประกอบด้วย ถนนราชดำริ, ถนนเพลินจิต, ถนนวิทยุ, ถนนเพชรบุรี, ถนนบรรทัดทอง, ถนนพระรามที่ 4 และถนนราชดำริ รวมระยะทาง 10.19 กิโลเมตร
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง: