เงินบาทไทยเช้าวันนี้ (23 กันยายน) หลังเปิดตลาดทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ล่าสุด ณ เวลา 09.40 น. เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 33.59 บาทต่อดอลลาร์ เป็นระดับการอ่อนค่าสุดในรอบ 4 ปี 2 เดือน นับจากเดือนกรกฎาคม 2560 โดยการอ่อนค่าดังกล่าวเป็นผลจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติได้เทขายทำกำไรในตลาดตราสารหนี้ไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง
พูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังตลาดมองว่า ผลการประชุมล่าสุดของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีแนวโน้มที่จะสนับสนุนนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น สะท้อนจากการที่มีเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ออกมาสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยในปี 2565 รวมถึงการปรับแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคตที่มากกว่าเดิม
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากผู้เล่นในตลาดยังคงมีความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เพื่อรับมือกับความผันผวนในตลาด จากประเด็น Evergrande ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 93.50 จุด กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงมาสู่ระดับ 1,766 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่โดยรวมยังทรงตัวในระดับดังกล่าว เนื่องจากผู้เล่นในตลาดยังถือสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ท่ามกลางความกังวลปัญหา Evergrande
นอกเหนือจากประเด็นปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท Evergrande ตลาดจะจับตาผลการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจอังกฤษ ทำให้บรรดานักวิเคราะห์มองว่า BOE อาจเริ่มส่งสัญญาณสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น (Tightening Policy) อาทิ อาจมีเสียงสนับสนุนการทยอยลด QE มากขึ้น ทั้งนี้ ตลาดมองว่า BOE จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.10% และอาจเริ่มทยอยขึ้นดอกเบี้ยได้ในครึ่งหลังของปีหน้า หากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ตามเป้า
ส่วนในฝั่งไทย ตลาดประเมินว่าปัญหาการระบาดของโควิดที่มีความรุนแรงมาก ทั้งในต่างประเทศและในประเทศช่วงเดือนสิงหาคม จะกดดันให้ยอดการส่งออกไทย (Exports) ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง เหลือ +17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) เช่นเดียวกับยอดนำเข้า (Imports) ที่จะขยายตัวเพียง 40% ทั้งนี้ ดุลการค้ายังคงเกินดุลราว 1.4 พันล้านดอลลาร์
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทในระยะสั้น เงินบาทยังมีโอกาสอ่อนค่า และอาจทดสอบแนวต้านสำคัญที่ระดับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ ตามการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ และการอ่อนค่าลงของเงินหยวน จากประเด็นความเสี่ยง Evergrande
ขณะเดียวกันปัจจัยในประเทศก็ยังมีผลต่อแนวโน้มเงินบาท หากนักลงทุนต่างชาติยังคงทยอยเทขายสินทรัพย์ไทยอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเริ่มเทขายพันธบัตร (บอนด์) ไทย ซึ่งเป็นการขายทั้งบอนด์ระยะสั้นและบอนด์ระยะยาว โดยบอนด์ระยะสั้นเพื่อปิดสถานะการเก็งกำไรที่เข้ามาซื้อกันจำนวนมากในช่วงก่อนหน้านี้ ส่วนแรงขายบอนด์ระยะยาว เนื่องจากกังวลปริมาณบอนด์ที่อาจจะออกมาเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า จากแผนการกู้เงินของรัฐบาล
“เรามองว่าแรงเทขายสินทรัพย์ไทยโดยนักลงทุนต่างชาติอาจเริ่มจำกัดลง ยกเว้นในกรณีที่ปัญหา Evergrande ลุกลามส่งผลกระทบหนักต่อเศรษฐกิจจีน ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับมาเทขายสินทรัพย์ในฝั่ง EM (ตลาดเกิดใหม่) ได้อีกรอบ”
พูนกล่าวด้วยว่า หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุแนวต้านได้ ก็สามารถอ่อนค่าต่อได้ถึงระดับ 33.80-33.85 บาทต่อดอลลาร์ แต่หากเงินบาทไม่สามารถผ่านแนวต้านได้ เราเชื่อว่าจะเริ่มเห็นการกลับตัวของเงินบาท ซึ่งมีโอกาสกลับมาแข็งค่าสู่ระดับ 32.70-32.80 บาทต่อดอลลาร์ได้เช่นกัน โดยกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.40-33.55 บาทต่อดอลลาร์
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP