วันนี้ (12 มกราคม) ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ได้ออกมาแถลงประเด็นการขับเคลื่อนเวทีครอบครัวเพื่อไทย ซึ่งเป็นเวทีปราศรัยแนวนโยบายและพบปะพี่น้องประชาชน ว่าพรรคเพื่อไทยจะเดินทางไปเปิดเวทีทุกพื้นที่ ทุกภูมิภาค อย่างต่อเนื่องไปจนถึงยุบสภา หวังปี 2566 เป็นปีของการเปลี่ยนแปลง ทวงคืนอนาคตและความหวังให้ประชาชน โดยที่เวทีแรกจะจัดขึ้นที่จังหวัดอุดรธานี ภายใต้ชื่องาน ‘อีสานยามใด๋ เพื่อไทยทอนั่น’ ซึ่งนำโดยแกนนำพรรคและสมาชิกคนสำคัญอย่าง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว, แพทองธาร ชินวัตร, สุทิน คลังแสง, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, อดิศร เพียงเกษ, จิราพร สินธุไพร และทีมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดอุดรธานี พรรคเพื่อไทย
ณัฐวุฒิยังย้ำอีกว่า ในเวทีนี้จะเต็มไปด้วยเนื้อหาที่เข้มข้น อัดแน่นไปด้วยนโยบาย ทิศทางการเมืองชัดเจน มุ่งเป้าแลนด์สไลด์หวังเปลี่ยนรัฐบาลเป็นฝ่ายประชาธิปไตย เพื่อนำนโยบายไปแก้ไขปัญหาให้ประชาชน และนี่ถือเป็นเวทีพิเศษเพราะจะเป็นครั้งแรกของแพทองธารที่จะขึ้นเวทีปราศรัยกลางแจ้งในบรรยากาศของการเตรียมการเลือกตั้ง ซึ่งจะปราศรัยตั้งแต่เวลา 16.30-18.30 น.
ส่วนคำถามที่ว่าเหตุใดที่ต้องเดินทางไปจังหวัดอุดรธานี เพราะอุดรธานีเป็นจังหวัดเมืองหลวงของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ณัฐวุฒิกล่าวย้ำว่าทุกพื้นที่มีความสำคัญเท่าเทียมกันหมด เพียงแต่จังหวัดอุดรธานีเป็นจังหวัดที่ ส.ส. ชนะยกจังหวัดมาอย่างต่อเนื่อง และได้รับการตอบสนองจากประชาชนอย่างหนาแน่นมาโดยตลอด
“หลังจากเวทีที่จังหวัดอุดรธานี พรรคเพื่อไทยมีกำหนดไปจัดเวทีทุกภูมิภาค ทุกสัปดาห์ไปจนถึงการยุบสภา ซึ่งผมคาดว่าจะมีการยุบสภาในช่วงกลางเดือนมีนาคม พรรคเพื่อไทยจะจัดเวทีปราศรัยใหญ่ในกรุงเทพมหานคร เพื่อเปิดนโยบายชุดใหญ่เข้าสนามเลือกตั้ง เชื่อว่าประชาชนจะมีความมั่นใจกับพรรคเพื่อไทยมากขึ้น หลังจากคิกออฟที่กรุงเทพฯ แล้ว พรรคเพื่อไทยจะกระจายตัวไปทำงานหนักในทุกพื้นที่ ทุกภูมิภาค เพื่อเก็บรับทุกคะแนนเสียงของพี่น้องประชาชน” ณัฐวุฒิกล่าว
ณัฐวุฒิยังได้กล่าวถึงการเปิดตัว พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่านี่ไม่ใช่เหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่คือเหล้าเก่าในขวดแตก เพราะเป็นการรวมเอาคนที่แตกออกจากพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเล็กพรรคน้อยเข้าด้วยกัน เดิมตนคาดว่า พล.อ. ประยุทธ์จะแสดงแสนยานุภาพอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ แต่ก็ผิดหวัง เพราะไม่มีการปรากฏบุคคลที่เป็นที่ยอมรับมาเป็นคนใหม่ทางการเมือง มองไปเห็นแต่อดีต ไม่มีอนาคต
อีกหนึ่งประเด็นที่ณัฐวุฒิได้ชี้ให้เห็นคือ การขยับเขยื้อนของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ไม่นานมานี้กรรมาธิการพัฒนาการเมืองของวุฒิสภา มีการศึกษาปัญหาจากการบังคับใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งมีสรุปประเด็นไว้หลายประเด็น แต่ที่น่าสนใจคือประเด็นที่ว่าด้วยวาระนายกฯ 8 ปี ส.ว. ชี้ว่าควรเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาแก้ไข นั่นหมายความว่าถ้าหลังการเลือกตั้ง พล.อ. ประยุทธ์อาศัยอำนาจ 250 ส.ว. ขึ้นเป็นนายกฯ ได้ จะมีการใช้เสียงรัฐบาลและเสียง ส.ว. แก้ไขเรื่องนี้อย่างแน่นอน
ณัฐวุฒิยังกล่าวอีกว่า ถ้าอยากให้ยุติเส้นทางอำนาจของ พล.อ. ประยุทธ์และพวก มีทางเดียวคือต้องทำให้เกิดรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย และจะเกิดได้จำเป็นต้องมีพรรคใดพรรคหนึ่งได้ 250 เสียงแลนด์สไลด์
