วันนี้ (28 เมษายน) เจมส์ ทีก ประธาน บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า AstraZeneca และสยามไบโอไซเอนซ์ตระหนักถึงหน้าที่สำคัญในการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ได้มาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุด เราตรวจสอบและควบคุมคุณภาพของวัคซีนอย่างเคร่งครัดในทุกขั้นตอน เพื่อส่งมอบวัคซีนที่มีคุณภาพให้กับรัฐบาลไทยใช้ยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้ได้โดยเร็วที่สุด
“AstraZeneca เชื่อมั่นว่าสยามไบโอไซเอนซ์มีมาตรฐานการผลิตสูง และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล บริษัทจึงได้เลือกสยามไบโอไซเอนซ์ให้เป็นผู้ผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้กับประเทศไทยและอีก 8 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและกระจายวัคซีนให้กับประชาชนในประเทศต่างๆ ได้เข้าถึงวัคซีนอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม” ทีกกล่าว
ทั้งนี้วัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ AstraZeneca ได้รับอนุมัติให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินกว่า 70 ประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงองค์การอนามัยโลก (WHO) และได้รับอนุมัติทะเบียนโดย WHO นี้จะช่วยเร่งการเข้าถึงวัคซีนโดยผ่านกลไกการจัดซื้อและจัดสรรวัคซีนของโครงการโคแวกซ์ (COVAX) สำหรับ 142 ประเทศทั่วโลก
ผลการทดลองทางคลินิกยืนยันว่า ผู้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของ AstraZeneca สามารถทนต่อผลข้างเคียงของวัคซีนได้ดี และวัคซีนยังช่วยป้องกันอาการเจ็บป่วยจากโรคโควิด-19 ในทุกระดับความรุนแรง
นอกจากนี้ข้อมูลการใช้วัคซีนในประชากรหลายสิบล้านคนทั่วโลกยังแสดงให้เห็นว่า วัคซีนของ AstraZeneca มีประสิทธิผลลดความรุนแรงของโรคโควิด-19 ในระดับที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้มากถึง 80% หลังจากการฉีดเข็มแรก โดยหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพในสหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป รวมไปถึง WHO ให้ข้อสรุปว่าประโยชน์ที่ได้รับจากวัคซีนป้องกันโควิด-19 นั้นมีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์
พิสูจน์อักษร: ชนเนตร ลอยครุฑ