×

“เมื่อประชาชนร้อนที่นี่ก็ต้องเดือด ประชาชนร้องไห้ ที่นี่จะมาจ๊ะจ๋าได้อย่างไร” สุทิน สรุปภาพรวมอภิปรายรัฐบาลประยุทธ์ ชี้ไล่นายกฯ เป็นหน้าที่

โดย THE STANDARD TEAM
19.02.2022
  • LOADING...
“เมื่อประชาชนร้อนที่นี่ก็ต้องเดือด ประชาชนร้องไห้ ที่นี่จะมาจ๊ะจ๋าได้อย่างไร” สุทิน สรุปภาพรวมอภิปรายรัฐบาลประยุทธ์ ชี้ไล่นายกฯ เป็นหน้าที่

วานนี้ (18 กุมภาพันธ์) สุทิน คลังแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดมหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน อภิปรายสรุปภาพรวมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ว่า ครั้งนี้ข้อหาเยอะ ทำให้มีเนื้อหากระจัดกระจาย เพราะเราต้องการบอกปัญหา แต่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา ในส่วนของตนเป็นผู้มาบอกข้อเสนอแนะ การอภิปรายตามมาตรา 152 ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 และที่ผ่านมามีการอภิปรายไม่ไว้วางใจมา 2 ครั้งแล้ว เราบอกปัญหาและส่งสัญญาณเตือนภัยมาเป็นลำดับตั้งแต่ปี 2562 โดยเฉพาะเรื่อง GPD และหนี้สาธารณะ ตอนนี้แพงทั้งแผ่นดิน จนทั้งแผ่นดิน และพังทั้งแผ่นดิน อาหารการกินทั้งหมดจากการสำรวจขึ้นราคาถึง 30-35% การเดินทางค่าใช้จ่ายขึ้น 30-40% ส่วนรายได้นั้นตกลง เกิดภาวะของแพงและไม่มีเงินใช้ รวมถึงค่าไฟฟ้า สินค้าสุขภาพ แม้กระทั่งหน้ากากอนามัยและ ATK ปัญหาการตกงาน ระวังโรคต้มยำกุ้งจะกลับมา เพราะหนี้ทุกตัวขึ้นสูง 

 

ส่วนที่นายกฯ บอกว่า ภาวะแบบนี้เป็นทั่วโลก ตนก็ยอมรับว่าจริง แต่แม้โควิดออกไปไทยก็ไม่ฟื้น เพราะปัจจัยพื้นฐานของเราล้มก่อนโควิด เปรียบเสมือนเรามองปัญหาผิด วินิจฉัยโรคผิด จ่ายยาผิด คนไข้ตาย เราโดนหนักกว่าทั่วโลก เขาแค่เซ แต่เราหัวคะมำ 

 

ส่วนที่บอกว่าเราเงินเฟ้อ เป็นสิ่งที่ตนกลัวมากที่สุด เพราะเราวินิจฉัยโรคผิด วันนี้ภาวะจริงๆ คือเงินฝืด ชาวบ้านไม่มีเงิน เพราะเรายังไม่ฟื้น วันนี้ราคาสินค้าสูงขึ้น เพราะเขาดันต้นทุน แต่รายได้ต่ำ เงินไม่มี สินค้าแพง เพราะต้นทุนคือน้ำมันสูง น้ำมันแพงทำให้สินค้าแพงตาม เรื่องนี้ตนไม่เถียง แต่ของเราน้ำมันแพง 30% แต่ส่วนอื่นราคาขึ้นแพงกว่า เพราะมันมีคนฉวยโอกาส เรามีนักการเมืองสองประเภทคือคนโง่ ที่รู้ไม่ทันพ่อค้า กับคนโกง ที่รู้ทันพ่อค้าแต่ร่วมกันทำขึ้นราคาแล้วแบ่งกัน ระวังเราจะลุกไม่ทัน

 

สุทินได้อภิปรายต่อว่า ปัญหาสังคมยาเสพติดระบาด จนอาชญากรรมเกิดขึ้นมากตาม โดยเฉพาะอาชญากรรมไซเบอร์จากเทคโนโลยี แต่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) มาตามจับการเมืองมากกว่า ส่วนภัยจากการเมืองที่บอกว่าจะปฏิรูปการเมือง วันนี้อ่อนแอที่สุดและใช้เงินมาก เลือกตั้งท้องถิ่นเห็นแล้วเศร้า วันนี้ดึงกลับไปสู่ประชาธิปไตยแบบใช้เงินเป็นใหญ่ และที่ทำนั้นกรรมเลยมาตกที่ท่าน เพราะท่านเคยบอกว่าการเมืองยุ่งเหยิง แตกแยก ไม่มีเสถียรภาพ ส่งผลให้ท่านเองทำงานไม่ได้ เพราะรัฐบาลอ่อนแอแก้ปัญหาไม่ได้ ระบบราชการก็เดี้ยง มาโผล่ที่สภาด่ากันให้ร่ำ นับองค์ประชุมไม่พอ รัฐบาลแย่ พวกสันหลังยาว ชาวบ้านปวดใจ เรื่องนับองค์ประชุมเป็นระบอบวัฒนธรรมของระบอบรัฐสภา มีทั่วโลก เมื่อฝ่ายค้านมีน้อยกว่าทำอะไรไม่ได้ก็ใช้วิธีนับองค์ ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหา เหมือนแต่หยอกกันเล่น แต่วันนี้นับเมื่อไรก็ล่มทุกที เพราะพวกท่านบริหารไม่ได้ ไม่มาประชุมกันเอง หนีกันไป 20 กว่าคน และก็ฝังตัวรอเล่นกันอีกเท่าไร ไม่ใช่ว่านับแล้วล่มมาด่าพวกตน นี่เรียกว่ากรรม

 

สำหรับเรื่องเหมืองทองอัครา เราเป็นห่วงว่าเมื่อไรจะจบ และจบแบบใด สุดท้ายมาได้ข่าวว่าเขาได้สัมปทานเพิ่ม ด้วยความเป็น ส.ส. ก็ห่วงจึงเอามาถาม เมื่อถามแล้วก็ลุกเป็นฟื้นเป็นไฟ แต่ฟังไปฟังมาก็มีพิรุธ และบริษัทคิงส์เกตไปบอกผู้ถือหุ้นว่าเราจะได้สัมปทานเพิ่มแล้วนะ จากการตรวจสอบก็พบพิรุธ เราไม่ได้บอกว่าท่านปิดผิด เพราะชาวบ้านก็เดือดร้อน แต่ผิดที่ไปใช้มาตรา 44 เท่านั้น ควรใช้วิธีที่ฉลาด และกฎหมายที่โลกไม่ยอมรับ เราพลาดตรงไม่เอาเรื่องสิ่งแวดล้อมไปบอกเขา ถ้าแพ้นายกฯ ก็จ่าย จะเอาเงินแผ่นดินไปจ่ายไม่ได้ เราเสียค่าปรับยังเสียหายน้อยกว่าเอาสัมปทานใหม่ให้เขาเพิ่ม

 

สุทินกล่าวว่า ส่วนเรื่องหมูแพงสะเทือนใจมาก พอหมูตายมากทำให้ราคาแพงขึ้น และคนเลี้ยงหมูรายย่อยจะสูญพันธุ์ ทำไมรัฐปกปิดข้อมูลตั้งแต่กรมปศุสัตว์ หรือเพราะต้องการให้ทุนใหญ่ได้ประโยชน์ ตนแนะนำ ส.ส. ที่อภิปรายเรื่องนี้ยื่นฟ้องกรมปศุสัตว์ที่มีการเบิกเงินไปตั้งแต่ปี 2562-2563 แต่ยังกลับบอกว่าไม่รู้ว่ามีโรค ถามว่าแล้วตอนนั้นเบิกเงินไปทำไม ที่รัฐมนตรีบอกว่าที่หมูแพงเพราะกลไกการตลาดบิดเบือน อยากรู้จังว่าใครเป็นคนปั่นราคาตลาดหมู วันนี้วัวหายมาล้อมคอกยังบอกว่าเป็นผลงาน แทนที่จะทำงานเชิงรุก ที่หมูราคาลงตอนนี้เพราะไปเจอที่กักตุนไว้ในห้องเย็น ซึ่งเป็นผลงานของคนทางไกลที่บอกว่าให้ไปดูและก็เจอจริงๆ ถ้าเก่งจริงท่านต้องอย่าให้มีการกักตุนตั้งแต่ทีแรก และได้ข่าวว่าแอบเอาหมูต่างประเทศเข้ามา 

 

ดังนั้นจึงต้องการให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยอมรับความจริง และรับฟังข้อเสนอแนะของคนอื่นมากขึ้นว่า ประเทศไทยหนักและพังเพราะโควิด และวันนี้อยากให้นายกรัฐมนตรียอมรับว่าไม่ใช่เพราะอัตราเงินเฟ้อ หรืออาจจะจริงเพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งการยอมรับความจริงบอกนายกฯ มาแล้วก็หลายครั้ง และนายกรัฐมนตรีก็มักจะปฏิเสธ 

 

“วันนี้ผมอยากพูดกับคนที่เขียนสคริปต์ให้นายกฯ และวันที่นายกฯ ตอบชี้แจงต่อสภาให้นำคนที่เขียนสคริปต์มาด้วย เนื่องจากคำตอบของนายกรัฐมนตรีที่สภาเสมือนเป็นการอ่านอาขยาน ดังนั้นต่อไปนี้จะไม่ถามนายกรัฐมนตรี จะเป็นการถามคนเขียนสคริปต์ของนายกรัฐมนตรีแทน”

 

สุทินกล่าวว่า ข้อเสนอต่อไปคือต้องการให้นายกรัฐมนตรีแก้ไขปัญหาในเชิงรุก ไม่ใช่การวิ่งตามปัญหา เช่นปัญหาเรื่องน้ำมันแพง ฝ่ายค้านได้เตือนรัฐบาลหลายครั้งว่าให้ลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต และที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีไม่ยอม และเถียงในประเทศนี้มาโดยตลอด แต่ท้ายที่สุดรัฐบาลก็ต้องยอมยกเว้นการจัดเก็บภาษีตามคำแนะนำของฝ่ายค้านซึ่งมองว่าช้าเกินไป เช่นนี้จึงเรียกว่าเป็นการติดตามปัญหา 

 

แต่อีกหนึ่งตัวอย่างที่รัฐบาลวิ่งตามปัญหาคือกรณีที่องค์กรต่อต้านการใช้สารต้องห้ามโลก (WADA) ห้ามประเทศไทยใช้ธงชาติไทยในการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ ซึ่งหากนักกีฬาไม่ชนะการแข่งขัน และไม่ถูกห้ามร้องเพลง ชาติไทย รวมถึงใช้ทุกชาติไทย ประเทศไทยก็จะไม่แก้กฎหมาย

 

นอกจากนั้นต้องการให้นายกรัฐมนตรีทบทวนการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งในกรณีนี้นายกรัฐมนตรีได้นำประชาชนมาเป็นตัวประกันตามข้อเสนอของฝ่ายค้านในการขอให้ทบทวนการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การยกเลิกโครงการคนละครึ่ง และโครงการต่างๆ ของรัฐ ซึ่งหากฝ่ายค้านยืนยันให้นายกรัฐมนตรียกเลิกโครงการดังกล่าวก็อาจจะเข้าทางของรัฐบาลที่จะทำให้รัฐบาลไม่เลือกฝ่ายค้าน ดังนั้นจึงขอให้รัฐบาลเดินหน้าแจกประชาชนต่อไป แต่ในต่างประเทศก็แจกประชาชน แต่เป็นการแจกเพื่อการลงทุน และดำเนินกิจการทางเศรษฐกิจ แต่การแจกของประเทศไทยเป็นการแจกให้กินและหายไป ซึ่งเป็นการแจกที่ไม่มีกันชนทางเศรษฐกิจให้ประชาชน

 

นอกจากนั้นขอให้รัฐบาลช่วยหารายได้เข้าประเทศแทนการกู้เงินที่เคยทำ ซึ่งหลักในการปลดหนี้มีเพียงสองหลักง่ายๆ คือ เพิ่มรายได้ และลดรายจ่าย แต่วันนี้รัฐบาลกลับทำตรงกันข้ามคือเพิ่มรายจ่าย และลดรายได้ โดยเรื่องที่รัฐบาลควรที่จะนำมาเป็นรายได้คือเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นเรื่องที่คนยุคใหม่กำลังให้ความสนใจ ขณะเดียวกันเศรษฐกิจดิจิทัลเป็นเรื่องที่รัฐบาลไม่เคยเข้ามาสนับสนุน แต่รัฐบาลจ้องเพียงแต่จะเข้ามาเก็บภาษีอย่างเดียว 

 

“ไม่ใช่อยู่ๆ เรามาบอกให้นายกฯ ออก แต่เราเสนอแนะทุกข้อแล้ว นายกฯ ออกมาบอกหน่อยจะรับหรือไม่ ถ้าอุดรอยรั่วไม่ได้ก็เปลี่ยนเรือเลย หน้าที่ไล่นายกฯ เป็นหน้าที่ของพวกผม ไล่ในสภาดีกว่าไปไล่ที่อื่น พวกผมใช้มาตรา 152 พูดจาด้วยเหตุผล สภาคือเงาสะท้อนของประชาชน เมื่อประชาชนร้อนที่นี่ก็ต้องเดือด ประชาชนร้องไห้ ที่นี่จะมาจ๊ะจ๋าได้อย่างไร นี่คือความงามของสภา ท่านต้องเข้าใจว่าผู้แทนได้รับแรงกดดันมา ถ้าผมพูดเท็จชาวบ้านก็จะว่าตอแหล ไปไหนเขาก็บอกว่าให้เอานายกฯ ออกให้หน่อย เราจะไปพร้อมกันก็ได้ ยุบสภาเลย ไม่ใช่ไล่ท่านอย่างเดียว กฎหมายลูกทำทันแน่นอน เราไปพร้อมกัน จะได้เป็นธรรม”

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising