วันนี้ (28 ตุลาคม) เวลา 12.30 น. ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมและกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ 18 ผ่านระบบการประชุมทางไกล พร้อมผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน และ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ในโอกาสนี้ ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญของการประชุม ดังนี้
นายกรัฐมนตรีอินเดียกล่าวว่า อาเซียน-อินเดียเป็นความร่วมมือที่แนบแน่น แม้จะประสบความท้าทายจากโควิด ซึ่งอินเดียยินดีให้ความร่วมมือกับอาเซียน อินเดียมีความเชี่ยวชาญด้านยาและเวชภัณฑ์ เพื่อให้ภูมิภาคผ่านพ้นวิกฤตโควิด ตลอดจนอินเดียให้ความสำคัญกับความเป็นเเกนกลางของอาเซียนในนโยบายมองตะวันออกของอินเดีย โดยเห็นว่าควรเพิ่มความร่วมมือด้านความเชื่อมโยงในระดับประชาชน เพื่อเสริมความเข้มเเข็งให้กับห่วงโซ่อุปทาน ตลอดจนส่งเสริมการค้าในภูมิภาค ทั้งนี้ อินเดียยืนยันพร้อมร่วมมือกับอาเซียนเพื่อประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย
นายกรัฐมนตรีกล่าวต้อนรับนายกรัฐมนตรีอินเดียสู่การประชุมในครั้งนี้ โดยตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทาย อาเซียนและอินเดียต่างเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด แต่ก็ได้ให้ความร่วมมือและช่วยเหลือกันมาโดยตลอด ทั้งนี้ ในปัจจุบันกำลังก้าวเข้าสู่ยุคหลังโควิด นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า อาเซียนและอินเดียจะสามารถร่วมกันสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนให้คนรุ่นหลังต่อไปได้ โดยนายกรัฐมนตรีเสนอให้ ‘มองไปข้างหน้า’ มากขึ้นผ่านการส่งเสริมความร่วมมือใน 3 ประเด็น ดังนี้
ประการแรก การส่งเสริมการเข้าถึงวัคซีนและยาต้านโควิดอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และรวดเร็ว นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด และยินดีที่อินเดียซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตยาและวัคซีนแหล่งสำคัญของโลก ประกาศที่จะส่งออกวัคซีนอีกครั้ง เพื่อช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพของการบริหารจัดการระบบห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ในการกระจายยาและวัคซีน และเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยอาเซียนและอินเดียยังสามารถร่วมมือกันพัฒนายาและวัคซีน เพื่อช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถของระบบสาธารณสุขในระยะยาวได้
ประการที่สอง การส่งเสริมความเชื่อมโยงเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายต้องเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กฎระเบียบ และเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อทำให้การค้าการลงทุนขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการทางหลวงสามฝ่าย ที่จะช่วยเติมเต็มเส้นทางเชื่อมโยงทางบกระหว่างอาเซียนกับอินเดีย และขยายไปสู่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียใต้และกลุ่ม BIMSTEC ซึ่งไทยจะเป็นประธานในปี ค.ศ. 2022-2023 รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับความเชื่อมโยงในระดับประชาชน โดยเฉพาะการฟื้นฟูการท่องเที่ยวซึ่งเป็นภาคธุรกิจสำคัญของภูมิภาค โดยจะต้องสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าสามารถเดินทางระหว่างกันอย่างสะดวก ปลอดภัย และมีแนวทางรับรองเอกสารการฉีดวัคซีนร่วมกัน รวมทั้งสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์เกี่ยวกับมาตรการในการเปิดพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวได้ ซึ่งไทยมีตัวอย่างคือ Phuket Sandbox ที่เริ่มดำเนินการแล้ว และในขณะนี้ไทยกำลังอยู่ระหว่างการเตรียมการเปิดประเทศอย่างเป็นขั้นเป็นตอนต่อไป
ประการที่สาม การส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อก้าวสู่ยุคใหม่ที่ดีกว่า โดยไทยในฐานะผู้ประสานงานของอาเซียนในเรื่องนี้พร้อมผลักดันความร่วมมือกับอินเดียในด้านการเติบโตสีเขียว เศรษฐกิจภาคทะเลที่เน้นการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน เกษตรอัจฉริยะ และพลังงานหมุนเวียน เพื่อร่วมกันพัฒนา ‘จุดแข็ง’ และรักษา ‘สมดุล’ ระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจกับการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ที่นำมาใช้สนับสนุนการฟื้นฟูภูมิภาคจากโควิดได้ โดยอินเดียสามารถร่วมมือกับไทยและอาเซียนได้ ผ่านกลไกศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน
ในช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำการส่งเสริมความร่วมมือแบบ ‘มองไปข้างหน้า’ เป็นกุญแจสำคัญที่จะกำหนดทิศทางความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างอาเซียนกับอินเดียในอนาคต โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2565 ที่อาเซียนและอินเดียจะฉลองโอกาสความสัมพันธ์ครบรอบ 30 ปี นอกจากนี้ การรับรองแถลงการณ์ร่วมอาเซียน-อินเดีย ว่าด้วยความร่วมมือต่อมุมมองอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิกในครั้งนี้ จะส่งเสริมความร่วมมือภายใต้มุมมองอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก กับข้อริเริ่มมหาสมุทรอินโด-แปซิฟิกของอินเดีย