ดูเหมือนว่าเราอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็น เมซุต โอซิล ในชุดแข่งของอาร์เซนอลอีกต่อไปแล้ว หลังจากที่ทีม ‘ปืนใหญ่’ ได้ตัดชื่อของอดีตสตาร์หมายเลข 1 ออกจากรายชื่อชุดลงแข่งขันรายการยูฟ่ายูโรปาลีก
ก่อนหน้านี้โอซิลไม่มีชื่ออยู่ในทีมของ มิเกล อาร์เตตา มาตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และเกมสุดท้ายที่เขาลงเล่นให้กับอาร์เซนอลต้องย้อนกลับไปไกลถึงเดือนมีนาคม
ดังนั้น แม้โอซิลจะยังเหลือสัญญากับทีมจนจบฤดูกาลนี้ และอาร์เซนอลยังมีโปรแกรมการแข่งขันอีกมากรออยู่ ไม่เฉพาะรายการในประเทศอย่างพรีเมียร์ลีก, ลีกคัพ, เอฟเอคัพ แต่ยังมียูโรปาลีก แต่ดูเหมือนการตัดชื่อของเขาออกจากทีมเป็นการแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนจากอาร์เตตาว่า อนาคตของเขากับทีมได้จบลงแล้วอย่างเป็นทางการ
เพราะในรายการพรีเมียร์ลีกเองก็จะต้องมีการส่งชื่อสุดท้ายให้เสร็จภายในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ ซึ่งการที่สโมสรได้รับอนุญาตให้ใส่ชื่อผู้เล่นที่ไม่อยู่ในข่าย Homegrown ได้สูงสุดแค่ 17 คน ทำให้เขาและ โซคราติส ปาปัสตาโธปูลอส ปราการหลังชาวกรีซ จะถูกตัดออกรายชื่อจากทีมเช่นกัน ซึ่งหมายถึงเขาจะไม่มีโอกาสลงเล่นอีกไปจนถึงช่วงเดือนมกราคมปีหน้าที่จะมีการอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงรายชื่ออีกครั้ง
‘หลังฉาก’ อาร์เตตาเองได้เคยพยายามทุกวิถีทางแล้วในการที่จะหาทางปลุกไฟในตัวของเพลย์เมกเกอร์วัย 31 ปี ที่ดับมอดลงมาหลายปี
กุนซือคนหนุ่มทำแม้กระทั่งการหยามศักดิ์ศรี เพราะหวังว่ามันจะทำให้โอซิลต้องการพิสูจน์คุณค่าให้เห็นอีกครั้ง
“ผมคาดหวังว่า ผู้เล่นที่ไม่ได้ลงสนามจะรู้สึกเจ็บปวดและผิดหวัง” อาร์เตตากล่าวเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน
อย่างไรก็ดี ความพยายามของอาร์เตตาไม่ประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับความพยายามของผู้บริหารสโมสรที่นำมาโดยสายเจรจาอย่างเอดูที่ได้ต่อรองขอให้โอซิลยอมรับ ‘เงินก้อน’ ซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่ก้อนสุดท้ายแล้วไปจากสโมสรเสีย เพื่อแยกย้ายจากกันด้วยดี
แต่โอซิลไม่สนใจข้อเสนอดังกล่าว ดูเหมือนเขายินดีที่จะอยู่ไปแบบนี้ และรอรับเงินค่าเหนื่อยสัปดาห์ละ 3.5 แสนปอนด์ไปแบบนี้จนกว่าจะหมดสัญญา ซึ่งมีการคำนวณแล้วว่า เขาจะได้รับเงินอีกราว 13.5 ล้านปอนด์ด้วยกัน
โดยที่มันเป็นสิทธิ์ของเขาที่พึงกระทำได้ ไม่ผิดอะไร
หากจะผิดก็อาจเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายที่ยากจะเชื่อว่าจะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้
ย้อนหลังกลับไปในช่วงฤดูร้อนปี 2013 แฟนบอลกันเนอร์สทุกคนตื่นเต้นอย่างมากกับข่าวการคว้าตัวโอซิลมาจากเรอัล มาดริด
ก่อนหน้าที่สตาร์ทีมชาติเยอรมนีจะย้ายมา อาร์เซนอลประสบปัญหาผลงานตกต่ำไม่กระเตื้อง พวกเขาได้แค่ลุ้นท็อป 4 ไม่มีโอกาสได้ลุ้นแชมป์ ไม่มีการลงทุนซื้อผู้เล่นมาเสริมทีมเหมือนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือเชลซี เท่านั้นไม่พอ ยังเสียสตาร์ตัวเก่งให้กับคู่แข่งรายแล้วรายเล่า
สถานการณ์นั้นทำให้เริ่มมีการกดดันจากแฟนบอลให้สโมสรต้องทำอะไรสักอย่าง ซึ่งในที่สุด อาร์เซน เวนเกอร์ ตัดสินใจเลือกโอซิลมาร่วมทีม โดยยอมจ่ายถึง 50 ล้านยูโร และตัวทำเกมหมายเลข 10 ของทีมอินทรีเหล็ก ก็กลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลอย่างรวดเร็ว
จากฤดูกาลแรกเขาทำไป 7 ประตู กับ 13 แอสซิสต์ โอซิลท็อปฟอร์มถึงขีดสุดในฤดูกาล 2015/16 ที่ทำไป 8 ประตู กับอีก 20 แอสซิสต์ ให้กับอาร์เซนอลในทุกรายการ และได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร
แต่ช่วงน้ำผึ้งพระจันทร์ก็ผ่านไป ปัญหาในการค้นหาความสำเร็จของอาร์เซนอลยังดำเนินต่อไป ความกดดันเพิ่มขึ้นทุกปี และความกดดันนั้นก็เริ่มลงมาที่นักเตะที่ถูกตราหน้าว่า ‘ขี้เกียจ’ ในการเล่นอย่างโอซิล ในความเป็นเพลย์เมกเกอร์ที่ลอยตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวในเกมรับ
ทั้งๆ ที่มีการกางสถิติการเล่นในระหว่างเกมแล้ว การวิ่งของโอซิลเองก็ไม่ได้น้อยไปกว่าคนอื่นแต่อย่างใด
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในฤดูกาล 2017/18 ซึ่งเขาเหลือสัญญาเป็นปีสุดท้าย สถานการณ์นั้นกดดันให้อาร์เซนอลตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการยอมทุ่มข้อเสนอค่าเหนื่อยมหาศาลถึงสัปดาห์ละ 3.5 แสนปอนด์ มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของสโมสร
โดยส่วนหนึ่งของแรงกดดันมาจากการที่กรณีของ อเล็กซิส ซานเชซ ที่ไม่ต่อสัญญา และบีบให้สโมสรต้องยอมแลกตัวกับ เฮนริกห์ มคิตาร์ยาน ในช่วงเวลาเดียวกัน
การต่อสัญญาฉบับนั้นกลายเป็นความผิดพลาดที่แม้แต่เวนเกอร์เองยังยอมรับในเวลาต่อมาว่า มันทำให้โอซิลได้อยู่ใน Comfort Zone สูญเสียแรงจูงใจในการเล่น
เมื่อพยายามและตั้งใจแค่ไหนแต่ก็ไม่ชนะใจแฟนบอลได้ โอซิลก็กลายเป็นนักเตะที่เล่นด้วยหัวใจเพียงครึ่งดวง
ซ้ำร้าย เมื่อเกิดกรณีอื้อฉาวเรื่องที่เขาและ อิลคาย กุนโดกัน นักเตะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเพื่อนร่วมทีมชาติเยอรมนี ซึ่งมีเชื้อสายตุรกีด้วยกัน ถ่ายภาพคู่กับ ไตยิป แอร์โดกัน ผู้นำตุรกี จนถูกตั้งคำถามว่า เป็นการแสดงจุดยืนทางการเมืองที่สนับสนุนผู้นำเผด็จการหรือไม่
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้หลังจบฟุตบอลโลก 2018 โอซิลตัดสินใจแตกหักกับทางด้านเดเอฟเบ โดยกล่าวหาผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการฟุตบอลเยอรมันว่า ‘เหยียดเชื้อชาติ’ ผ่านการโพสต์ระบายความในใจทางโซเชียลมีเดีย และประกาศอำลาทีมชาติทันที ซึ่งดูเหมือนว่าจะทำให้เขาแทบจะหมดความสนใจในการเล่นไปเลย
เขากลับดูสนใจเรื่องทางการเมืองมากกว่าการทำหน้าที่ในสนาม โดยเมื่อช่วงปลายปีที่แล้วก็เป็นข่าวใหญ่อีก เมื่อแสดงจุดยืนต่อต้านรัฐบาลจีนในกรณีชาวอุยกูร์ ซึ่งกลายเป็นเรื่องมหึมา เมื่อจีนสั่งแบนอาร์เซนอลและโอซิลทันที
แฟนกันเนอร์สเลือดมังกรเองก็ทนไม่ไหว จัดการเผาเสื้อโอซิลทันที และตั้งคำถามว่า “ทำไมถึงไม่สนใจแค่การเล่นฟุตบอลในสนาม?”
คำถามดังกล่าว พวกเขาได้รับคำตอบที่ชัดเจนในเวลาต่อมาว่า โอซิลไม่ได้ใส่ใจอะไรกับการเล่นอีก จนสุดท้ายไม่อยู่ในแผนการทำทีมของทั้งผู้จัดการทีมคนเก่าอย่าง อูไน เอเมรี และผู้จัดการทีมคนใหม่อย่างอาร์เตตา
ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนก็พยายามแล้วที่จะเรียกวิญญาณของเพลย์เมกเกอร์พรสวรรค์รายนี้กลับมา ซึ่งแม้จะคิดได้หลากหลายถึงเหตุผลที่ทำให้เขาหมดใจและหมดไฟ ไม่ว่าจะเป็นการไม่เป็นที่ยอมรับของแฟนบอล การเป็นแพะรับบาปของทีมเสมอ เรื่องปัญหาทางการเมือง และอาจจะมีเรื่องอื่นๆ อีก
แต่สุดท้ายแล้ว ไม่มีใครจะรู้ดีไปกว่าตัวของเขาเองว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจจะดำเนินชีวิตไปแบบนี้
สิ่งที่เหลืออยู่ระหว่างอาร์เซนอลและโอซิลจึงเป็นเพียงเศษซากของความทรงจำที่เคยสวยงาม
ไม่มีความรู้สึกดีๆ หลงเหลือ และรอเวลาที่จะแยกทางกันอย่างเป็นทางการ
- โอซิลยังมีปัญหากับอาร์เซนอลในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งในกรณีที่ปฏิเสธจะยอมลดค่าเหนื่อยลง ทั้งๆ ที่เพื่อนร่วมทีมรวมถึงผู้จัดการอย่างอาร์เตตา ยอมลด โดยให้เหตุผลว่า ไม่มั่นใจว่าการลดค่าเหนื่อยคือการแก้ปัญหาและช่วยให้ลูกจ้างของสโมสรมีงานทำอยู่หรือไม่ (ซึ่งในเวลาต่อมาก็มีการลดจำนวนลูกจ้าง 55 คน)
- หนึ่งในคนที่ถูกเลิกจ้างคือ เจอร์รี คีย์ ซึ่งรับบท ‘กันเนอร์ซอรัส’ มาสคอตประจำสโมสร ที่ทำให้อาร์เซนอลถูกโจมตีอย่างมาก ทางด้านโอซิลจึงได้เสนอตัวจะช่วยจ่ายค่าจ้างให้แทน ซึ่งมีการมองว่า เป็นการทำเพื่อโจมตีสโมสรทางอ้อม