Aquaman and the Lost Kingdom ภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่เรื่องใหม่จากผู้กำกับ James Wan และยังถือเป็นผลงานเรื่องสุดท้ายของจักรวาล DC Extended Universe (DCEU) ที่ดำเนินมายาวนานร่วม 10 ปีนับตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่องแรกอย่าง Man of Steel ของผู้กำกับ Zack Snyder ออกฉายครั้งแรกในปี 2013 ก่อนที่จะผันเปลี่ยนสู่ยุคของ DC Studios ภายใต้การดูแลของ James Gunn และ Peter Safran ในชื่อจักรวาลใหม่ว่า DC Universe (DCU)
โดย Aquaman and the Lost Kingdom ยังคงได้ Jason Momoa กลับมาสวมบทเป็น Arthur Curry หรือ Aquaman เช่นเดิม พร้อมด้วย Yahya Abdul-Mateen II, Patrick Wilson, Nicole Kidman, Temuera Morrison และ Amber Heard
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ Black Manta (Yahya Abdul-Mateen II) ที่พ่ายแพ้ให้กับ Aquaman (Jason Momoa) มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เขาพยายามรักษาตัวและทำทุกวิถีทางเพื่อแก้แค้น Aquaman ให้สำเร็จ กระทั่งเขาได้พบกับ Black Trident ตรีศูลโบราณที่ทำให้เขามีพลังอำนาจมากขึ้น เขาจึงวางแผนบุกโจมตีแอตแลนติสอีกครั้ง ขณะที่ Aquaman ก็ต้องออกเดินทางไปพบกับ Orm (Patrick Wilson) น้องชายต่างพ่อและอดีตศัตรูเก่า เพื่อร่วมมือกันหยุดยั้งการโจมตีของ Black Manta ให้สำเร็จ
ในบรรดาภาพยนตร์จากจักรวาล DCEU Aquaman (2018) คือผลงานเพียงเรื่องเดียวที่สามารถกวาดรายได้รวมทั่วโลกทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐได้สำเร็จ ซึ่งน่าจะเป็นตัวเลขที่ช่วยยืนยันให้เราเห็นถึงฝีไม้ลายมืออันโดดเด่นของผู้กำกับ James Wan ที่นอกจากผลงานภาพยนตร์แนวสยองขวัญที่ผู้ชมต่างไว้ใจในฝีมือแล้ว เขายังสามารถปรุงแต่งรสชาติอันจัดจ้านของภาพยนตร์แอ็กชันบล็อกบัสเตอร์ออกมาได้อย่างสนุกสนานไม่แพ้กัน อย่างเช่นใน Furious 7 (2017) ที่ขึ้นแท่นเป็นผลงานที่ทำรายได้รวมทั่วโลกสูงที่สุดของแฟรนไชส์ Fast & Furious เช่นกัน
ดังนั้นแล้ว แม้ว่าผลงานในช่วงหลังของ DCEU จะได้กระแสตอบรับที่ดีบ้างแย่บ้างสลับกันไป แต่ด้วยชื่อของผู้กำกับ James Wan ก็น่าจะช่วยให้ผู้ชมหลายคนอุ่นใจขึ้นว่าภาพยนตร์ปิดม่านจักรวาล DCEU เรื่องนี้จะยังคงรักษามาตรฐานความสนุกอย่างที่ภาคแรกเคยทำไว้ได้ไม่มากก็น้อย
สำหรับ Aquaman and the Lost Kingdom ในมุมของผู้เขียน สิ่งแรกที่เราคิดว่าผู้กำกับและทีมสร้างยังคงรักษาความโดดเด่นจากภาคแรกได้อย่างครบถ้วนคือ เรื่องราวการผจญภัยของสองพี่น้อง Arthur และ Orm ที่ถูกร้อยเรียงและนำเสนอมาได้อย่างสนุกสนาน ทั้งการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อหยุดยั้งแผนการร้ายของ Black Manta และการแก้ไขปริศนาระหว่างทาง
รวมถึงฉากแอ็กชันน้อยใหญ่ที่ถูกสร้างสรรค์ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ และสร้างความบันเทิงให้แก่ผู้ชมได้ตลอดทางไม่แพ้ภาคแรก ไม่ว่าจะเป็นฉากบุกโจมตีแอตแลนติสของ Black Manta ไปจนถึงการผจญภัยในป่าสุดอันตรายของ Arthur และ Orm ซึ่งตัวภาพยนตร์ก็เรียบเรียงเหตุการณ์เพื่อค่อยๆ ดันกราฟความสนุกของเรื่องให้สูงขึ้นเรื่อยๆ และเสริมด้วยมุกตลกขบขันที่สร้างเสียงหัวเราะให้เราได้อย่างพอเหมาะ
และสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่องจริงๆ เห็นจะเป็นความสัมพันธ์ของ Arthur และ Orm ที่ไม่ว่าจะเป็นมุกตลกขบขัน การร่วมมือกันต่อกรกับ Black Manta ไปจนถึงความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสองนักแสดงนำอย่าง Jason Momoa และ Patrick Wilson ต่างก็สามารถรับส่งบทสนทนากันได้อย่างลื่นไหล และพร้อมจูงมือเราออกผจญภัยไปกับพวกเขาได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
อีกหนึ่งจุดเด่นที่เราอยากหยิบยกมากล่าวถึงคือ การที่ผู้กำกับและทีมสร้างหยิบนำประเด็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมานำเสนออย่างชัดเจนมากขึ้นกว่าภาคแรก โดยเฉพาะการพูดถึงเรื่องอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในท้องทะเล ผ่านบทสนทนาระหว่างตัวละครและการรายงานข่าวบนจอโทรทัศน์ ซึ่งแม้ว่าประเด็นดังกล่าวจะไม่ได้ถูกนำเสนออย่างเข้มข้นจริงจังมากนัก แต่อย่างน้อยที่สุดเราคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้ทำหน้าที่เชื้อเชิญให้ผู้ชมหันมาสนใจ และร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนกันถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันได้ไม่มากก็น้อย
ขณะเดียวกันเมื่อตัวภาพยนตร์ตั้งใจที่จะเน้นหนักไปทางมอบความบันเทิงแก่ผู้ชมเป็นหลัก สิ่งที่ต้องแลกมานั้นจึงเป็นเรื่องราวของภาพยนตร์ที่ไม่ได้มีความเฉียบคมหรือมีประเด็นน่าสนใจที่ชวนให้เรากล่าวถึงมากนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของ Arthur ที่ยังไม่มั่นว่าตัวเองจะเหมาะสมกับการเป็นราชาแห่งแอตแลนติสหรือไม่ ตัวภาพยนตร์ก็ไม่ได้พาเราไปสำรวจแง่มุมนี้ของตัวละครอย่างเจาะลึกมากนัก
หรือจะเป็นพาร์ตของ Black Manta ที่แม้ตัวภาพยนตร์จะนำเสนอความแข็งแกร่งของเขาในฐานะตัวร้ายหลักออกมาได้อย่างโดดเด่น แต่อีกด้านหนึ่ง ภาพยนตร์กลับบอกเล่าเรื่องราวของเขาได้ไม่น่าสนใจนัก มีบางฉากบางตอนที่เราคิดว่ามันสามารถรวบรัดหรือตัดออกไปเลยก็น่าจะไม่ได้ส่งผลต่อภาพรวมของเรื่อง รวมถึงตัวละคร Dr.Stephen Shin (Randall Park) ที่ดูเหมือนจะมีบทบาทสำคัญ แต่ภาพยนตร์ก็นำเสนอออกมาได้ไม่ชัดเจนเท่าไร จึงส่งผลให้กราฟของเรื่องมักจะลดลงทุกครั้งที่ภาพยนตร์ตัดสลับมาเล่าในพาร์ตของพวกเขา
ในภาพรวมแล้ว แม้ว่า Aquaman and the Lost Kingdom จะมีข้อสังเกตในแง่ของมิติตัวละครที่อาจจะยังไม่น่าสนใจนัก แต่ขณะเดียวกันภาพยนตร์เรื่องนี้ก็สามารถทำหน้าที่มอบความบันเทิงให้แก่ผู้ชมได้อย่างครบถ้วน ทั้งการผจญภัยของสองพี่น้อง Arthur และ Orm ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ฉากแอ็กชันที่สนุกสนานและจัดหนักจัดเต็มไม่แพ้ภาคแรก อารมณ์ขันของเรื่องที่สร้างเสียงหัวเราะให้เราได้เป็นระยะ และการแสดงที่เข้าขากันอย่างลงตัวของ Jason Momoa และ Patrick Wilson ที่เป็นหัวใจสำคัญของเรื่อง
Aquaman and the Lost Kingdom เข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่าง Aquaman and the Lost Kingdom ได้ที่:
ภาพ: Warner Bros. Pictures