×

iPhone 12 ไม่มาตามคาด Apple เปิดตัว ‘Watch Series 6’ และ ‘iPad’ ใหม่ พร้อมบริการ Apple One

16.09.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 mins. read
  • Apple ยังไม่เปิดตัว iPhone 12 ออกมาในงาน Apple Event ครั้งนี้ โดยเลือกเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่คือ Apple Watch และ iPad
  • ความน่าสนใจของ Watch Series 6 คือฟีเจอร์ใหม่ๆ ด้านสุขภาพที่จัดเต็มมาก เช่น การใส่เซนเซอร์วัดระดับออกซิเจนในเลือด, มาตรวัดความสูง Always-on-altimeter แต่ไฮไลต์คือการเปิดตัว Watch SE ราคาประหยัด
  • iPad ที่เปิดตัวใหม่คือ iPad รุ่น 8 และ iPad Air ตัวใหม่ นอกจากนี้ Apple ยังเปิดตัวแพ็กเกจรวมทุกบริการจบที่เดียว หรือ Apple One มาให้ผู้ที่สนใจสามารถสมัครใช้ได้อีกด้วย

และแล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่องาน Apple Event ที่เพิ่งจบลงไปสดๆ ร้อนๆ ในช่วงวันอังคารที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐอเมริกา Apple ได้เลือกเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพียง 2 อย่างเท่านั้น ประกอบด้วย Apple Watch และ iPad ไร้ซึ่งร่องรอยการปรากฏตัวของ ‘iPhone 12’ ที่มีข่าวก่อนหน้านี้ว่าอาจจะวางจำหน่ายพร้อมกันมากถึง 4 โมเดล และรองรับเทคโนโลยี 5G

 

โดย ทิม คุก ได้เกริ่นในตอนต้นว่าทั้ง Apple Watch และ iPad เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอิทธิพลกับตัวเขา และยังช่วยให้ชีวิตของผู้ใช้งานหลายๆ คนมีประสิทธิภาพและสะดวกสบายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะตัวเขาเองที่ใช้ Watch ทั้งการอ่านข้อความ เช็กปฏิทินการทำงาน การแจ้งเตือนต่างๆ ติดตามการทำงานของหัวใจ ไปจนถึงการสตรีมเพลง 

 

ฝั่ง iPad ก็ไม่น้อยหน้า เพราะตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่เริ่มวางจำหน่าย iPad ได้ถูกจำหน่ายไปแล้วมากกว่า 500 ล้านเครื่องทั่วโลก โดยในจำนวนนี้ 53% ของผู้ที่ซื้อ iPad ทั้งหมดคือหน้าใหม่ที่ตัดสินใจซื้อเครื่องครั้งแรก

 

ส่วนแต่ละผลิตภัณฑ์ที่ Apple เปิดตัวออกมาใหม่ในครั้งนี้จะมีอะไรใหม่ๆ ที่น่าสนใจบ้าง THE STANDARD ได้สรุปและรวบรวมมาไว้ให้คุณแบบจบที่เดียวในโพสต์นี้แล้ว

 

 

Apple Watch Series 6 นาฬิกาอัจฉริยะที่มาพร้อมฟีเจอร์รอบด้านและดีไซน์ที่หลากหลายกว่าเดิม

  • มาพร้อมกับ ‘เซนเซอร์วัดระดับออกซิเจนในเลือด’ ได้ด้วยตัวเองภายในระยะเวลาแค่ 15 วินาที วัดได้ทุกที่ทุกเวลา เพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพและการออกกำลังกาย และยังใช้ควบคู่กับฟีเจอร์แทร็กข้อมูลการนอนหลับบน Watch OS7
  • มาตรวัดความสูง Always-on-altimeter ตรวจวัดระดับความสูงจากพื้นดิน เหมาะกับสายเทรล คนออกกำลังกายแนวแอดเวนเจอร์ ใช้งานเวลาปีนเขาหรือเดินขึ้นเขา พร้อมแสดงข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ 
  • โหมด Always on Display หรือการแสดงผลตลอดเวลาบนจอเรตินาถูกปรับปรุงให้แสดงผลได้สว่างขึ้นกว่ารุ่นเดิม (Apple Watch Series 5) ที่ 2.5 เท่า
  • ใช้ชิปประมวลผล S6 พร้อม Dual-core Processor A13 Bionic (แบบเดียวกับ iPhone11) ช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้นจากรุ่นเดิม 20%  
  • แบตเตอรี่ใช้งานได้ต่อเนื่องนานกว่า 18 ชั่วโมง
  • ตัวเรือนมีวัสดุให้เลือกถึง 3 แบบ ประกอบด้วย 
    • รุ่นอะลูมิเนียมสีเงิน, สีฟ้า, สีเทาสเปซเกรย์, สีทอง และสีแดง (PRODUCT)RED ที่มาพร้อมสายสีแดง 
    • รุ่นสเตนเลสสตีล สีแกรไฟต์ (ดำเทา) และสีเยลโลว์โกลด์แบบคลาสสิก 
    • รุ่น Apple Watch Edition ตัวเรือนไทเทเนียมสีดำธรรมชาติ และสีดำสเปซแบล็ก
  • สายแบบซิลิโคนที่มาพร้อมตัวเรือนทั่วไปถูกปรับมาใช้แบบ Solo Loop ไม่มีตัวหมุดกลัด แต่รัดให้แนบไปกับข้อมือแทน มีให้เลือก 7 สี, สายถักที่ทำจากด้ายโพลีเอสเตอร์ 5 สี, สายหนัง Leather Link, สาย Nike Sport Band และ Sport Loop และสายแบบ Simple Tour หรือ Double Tour ของ Hermès
  • หน้าปัดแบบใหม่ๆ ทั้ง Chronograph แบบใหม่, Typograph เล่นกับตัวเลข ตัวอักษร, กราฟิกรูปแบบต่างๆ ที่ทำร่วมกับศิลปินแบบคัสตอม ไปจนถึงหน้าปัดแบบ Memoji ที่ใช้หน้าตัวการ์ตูน 3 มิติของเรามาตั้งเป็นหน้าจอได้
  • ฟีเจอร์ Family Setup ช่วยให้จับคู่กับนาฬิกาของลูกๆ หรือคุณพ่อ คุณแม่ ผู้สูงอายุที่อาจจะยังไม่มี iPhone ได้ผ่าน iPhone ของเราเครื่องเดียว ซึ่งใช้งานในไทยได้ผ่านโอเปอเรเตอร์ที่เป็นพาร์ตเนอร์กับ Apple อย่าง AIS, TrueMove H และ dtac เหมาะกับการใช้งานติดตามเด็กๆ เพื่อป้องกันการพลัดหลง
  • ราคาวางจำหน่าย: Apple Watch Series 6 (รุ่น GPS) เริ่มต้นที่ 13,400 บาท และ Apple Watch Series 6 (รุ่น GPS + Cellular) เริ่มต้นที่ 16,900 บาท
  • ต่างประเทศเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันศุกร์ที่ 18 กันยายนนี้เป็นต้นไป ส่วนในไทยให้ข้อมูลว่าจะเริ่มวางจำหน่ายเร็วๆ นี้

 

 

Apple Watch SE เจาะตลาดใหม่ด้วยราคาที่เป็นมิตรและ ‘เข้าถึงง่ายขึ้น’

  • Apple Watch โมเดลประหยัด เข้าถึงได้ง่ายขึ้น 
  • จอเรตินา มีฟีเจอร์มาตรวัดความสูง Always-on-altimeter เหมือนกับ Series 6
  • ใช้ชิป S5 เร็วกว่า Apple Watch Series 3 ถึง 2 เท่า โปรเซสเซอร์แบบ Dual-core Digital Crown
  • รองรับฟีเจอร์การใช้งานในโหมด Family Setup 
  • ราคาวางจำหน่าย: Apple Watch SE (GPS) เริ่มต้นที่ 9,400 บาท และ Apple Watch SE (GPS + Cellular) เริ่มต้นที่ 10,900 บาท

 

 

Apple One รวมทุกบริการของ Apple ‘แบบบุฟเฟต์’ จบที่เดียว 

  • แพ็กเกจบริการแบบบุฟเฟต์จาก Apple ที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสมัครใช้บริการได้ครบทุกบริการจบในที่เดียว 
  • ครอบคลุมตั้งแต่ iCloud, Apple Music, Apple TV+, Apple Arcade, Apple News+ และ Apple Fitness+ (บางบริการไม่ได้ครอบคลุมพื้นที่การให้บริการในทุกประเทศ)
  • แพ็กเกจที่มีให้เลือกสมัครใช้งานในประเทศไทยประกอบด้วย
    • Individual ประกอบด้วย Apple Music, Apple TV+, Apple Arcade และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล iCloud ขนาด 50 GB ราคา 225 บาทต่อเดือน
    • Family ประกอบด้วย Apple Music, Apple TV+, Apple Arcade และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล iCloud ขนาด 200 GB ราคา 295 บาทต่อเดือน และสามารถแชร์กับสมาชิกในครอบครัวได้สูงสุด 6 คน

 

 

iPad รุ่นที่ 8 พร้อมชิป A12 Bionic เคาะราคาเปิด 10,900 บาท

    • iPad รุ่นที่ 8 จอเรตินาขนาด 10.2 นิ้ว
    • ใช้ชิป A12 Bionic ซีพียูเร็วกว่ารุ่นเดิม 40% ประมวลผลกราฟิกเร็วกว่าเดิม 2 เท่า มาพร้อม Neural Engine
    • Apple เคลมอีกด้วยว่า iPad รุ่นที่ 8 สามารถประมวลผลได้เร็วกว่าโน้ตบุ๊ก แท็บเล็ตรุ่นอื่นๆ ในท้องตลาดแบบทิ้งห่าง (เร็วกว่าแล็ปท็อปของค่ายวินโดว์ 2 เท่าตัว, แท็บเล็ตจาก Android 3 เท่า และ Chromebook 6 เท่า) 
    • ทำงานคู่กับ Apple Pencil (รุ่นที่ 1 ราคา 3,400 บาท) และ Smart Keyboard (ราคา 5,290 บาท) (ต้องซื้ออุปกรณ์เสริมแยก)  
    • ราคาวางจำหน่าย: เริ่มต้น 10,900 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi และ 15,400 บาท สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular มีให้เลือกทั้งสีเงิน สีเทาสเปซเกรย์ และสีทอง ในรุ่นความจุ 32 GB และ 128 GB

 

  • กำหนดการวางจำหน่าย: ในต่างประเทศเริ่มจำหน่ายตั้งแต่วันศุกร์นี้เป็นต้นไป ส่วนในไทย Apple ระบุว่าเร็วๆ นี้

 

 

 

iPad Air โฉมใหม่ 5 สี มาพร้อมชิป A14 Bionic ย้ายปุ่ม Touch ID ไปไว้ด้านบน

 

  • iPad Air จอ Liquid Retina ขนาด 10.9 นิ้ว (2360 x 1650) แสดงผลแบบ True Tone 

 

    • ใช้ชิป A14 Bionic 6 Core CPU ช่วยให้ทำงานเร็วกว่ารุ่นก่อนหน้า 40% แสดงผลกราฟิกได้เร็วกว่าเดิม 30%
    • ย้ายปุ่มเซนเซอร์ Touch ID มาไว้บริเวณด้านบนตัวเครื่องฝั่งขวา ที่ปุ่ม Sleep/Wake ของ iPad Air

 

  • มีให้เลือกมากถึง 5 สีคือ สีเงิน, สีเทาสเปซเกรย์, สีโรสโกลด์, สีเขียว และสีสกายบลู
  • ใช้ USB-C Port ช่วยให้โอนถ่ายข้อมูลได้เร็วกว่ารุ่นเดิม 10 เท่าผ่านสาย 
  • กล้องหน้า 7 MP กล้องหลัง 12 MP
  • รองรับ Apple Pencil รุ่นที่ 2 สำหรับ iPad Air (ราคา 4,490 บาท) และ Magic Keyboard สำหรับผู้ใช้ iPad Air และ Smart Keyboard Folio มีจำหน่ายแยกต่างหากในราคา 9,990 บาท และ 5,990 บาท ตามลำดับ

 

  • ราคาวางจำหน่าย: เริ่มต้นที่ 19,900 บาท และรุ่น Wi-Fi + Cellular ในราคาเริ่มต้นที่ 24,400 บาท โดยมีให้เลือกทั้งในขนาด 64 GB และ 256 GB 
  • กำหนดการวางจำหน่าย: วางจำหน่ายเร็วๆ นี้

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising