วันนี้ (19 พฤศจิกายน) ที่ทำเนียบรัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณีเพิ่งมีการโปรดเกล้าฯ ประกาศราชกิจจานุเบกษาแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดเมื่อวานนี้ (18 พฤศจิกายน) โดยระบุว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะเข้าไปรับตำแหน่งเป็นการแต่งตั้งไม่ใช่การโยกย้าย จึงต้องเปิดสอบตามขั้นตอนโดยให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้พิจารณา และนำเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
ส่วนการขับเคลื่อนงานของกระทรวงมหาดไทยนั้นเริ่มมีความคล่องตัวและรวดเร็วมากขึ้น มีการทำงานร่วมกันและเข้าใจในเป้าหมายภารกิจที่สอดคล้องกันมากขึ้น และคงไม่มีเหตุการณ์เกียร์ว่างเหมือนที่ผ่านมา เพราะเป็นทีมเดียวกันแล้ว ที่ผ่านมาระดับอธิบดีและผู้ว่าราชการจังหวัดก็ให้ความร่วมมือมาโดยตลอด เพราะการสั่งการโดยนโยบายไม่ใช่การสั่งให้ทำอะไรบ้าง เมื่อใครปฏิบัติก็จะเห็นผลงานได้ง่าย เมื่อต้องพิจารณาอะไรก็ตามก็จะให้ความเห็นได้ จึงมุ่งมั่นให้กระทรวงมหาดไทยให้ความสะดวกสบายและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนได้อย่างแน่นอน
สำหรับเกณฑ์ในการเลือกผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น เนื่องจากไม่สามารถเลือกเองได้จึงได้แต่มอบนโยบายให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยให้ยึดหลักธรรมาภิบาลทุกอย่าง ความอาวุโสก็เป็นธรรมาภิบาลอย่างหนึ่ง อีกทั้งผลงาน, ประสบการณ์, ความตั้งใจ, ความซื่อสัตย์, ความสุจริต รวมถึงความทุ่มเท หลายๆ อย่างประกอบกัน
ภายหลังจากการแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดจะมีการเลือกตั้งนายก อบจ. ตนกำชับให้ข้าราชการฝ่ายปกครองโดยออกเป็นหนังสือให้ข้าราชการวางตัวเป็นกลางชัดเจน การแข่งขันก็เป็นเรื่องของการแข่งขันไป การหาเสียงเป็นเรื่องของผู้สมัคร เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ที่มีแข่งขันอย่างเข้มข้นดุเดือดนั้น อนุทินกล่าวว่า ในจังหวัดสุรินทร์อย่าว่าแต่พรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทยเลย ในจังหวัดเดียวกันพรรคภูมิใจไทยก็แข่งกัน ตนจึงเลือกที่จะไม่ไปและพรรคภูมิใจไทยก็ไม่เคยส่งผู้สมัครในนามพรรค ทุกคนล้วนเป็นคนภูมิใจไทยและคนสนิทของพรรคภูมิใจไทย ตนเองกินยาแก้ปวดวันละ 10 เม็ดยังไม่หายปวด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จากศึกเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี พรรคเพื่อไทยประกาศในการเลือกตั้งครั้งหน้าโดยตั้งเป้าว่าจะได้ 200 ที่นั่ง ส่วนพรรคประชาชนวางเป้าไว้ 270 ที่นั่ง พรรคภูมิใจไทยวางเป้าไว้เท่าไร อนุทินกล่าวว่า เมื่อต่างคนต่างประกาศเป้าหมายของพรรคตัวเองเราจะมี สส. 2,000 คน
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า พรรคภูมิใจไทยวางเป้าหมายไว้เท่าไร อนุทินกล่าวติดตลกว่า 399 ที่นั่ง ซึ่งรวมกับพรรคของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชนก็จะกลายเป็น 2,000 กว่าที่นั่ง
ส่วนการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงานได้รับรายงานการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเพื่อเป็นของขวัญให้กับประชาชนในโอกาสขึ้นปีใหม่นี้หรือไม่ อนุทินกล่าวว่า มีขั้นตอนมาแล้วก็ปฏิบัติตามขั้นตอน ถือเป็นนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาลซึ่งเริ่มมาตั้งแต่รัฐบาล เศรษฐา ทวีสิน ซึ่งล้วนมีกระบวนการในการดำเนินการ โดยเฉพาะคณะกรรมการไตรภาคี ซึ่งในส่วนนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานก็ไม่สามารถทำอะไรได้ มีหน้าที่ที่จะต้องประสานให้ได้ แต่การตัดสินใจทั้งหมดอยู่ที่คณะกรรมการไตรภาคีที่ประกอบไปด้วยลูกจ้าง นายจ้าง และภาครัฐ
ส่วนจะทันช่วงวันปีใหม่เพื่อเป็นของขวัญให้คนไทยหรือไม่นั้น อนุทินกล่าวว่า นโยบายดังกล่าวนี้อยู่ในการแถลงของรัฐบาลเศรษฐา และนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ส่วนจะทำได้ในวันที่ 1 มกราคมนี้หรือไม่อยู่ที่คณะกรรมการไตรภาคีว่าจะเห็นชอบถึงความเหมาะสมหรือไม่