บทที่สาม
ข้าพเจ้าเข้าห้องพักตั้งแต่หัวค่ำด้วยความอ่อนเพลียจากการเดินทาง ในตอนแรกข้าพเจ้าพยายามฝืนสายตาด้วยการอ่านนวนิยาย แม็กซ์ ฮาเวลลา ของ มุลตาตุลลี ทว่าแม้เรื่องราวของชายชาวดัตช์ที่บุกเบิกกิจการไร่กาแฟในชวาจะตื่นเต้นสักเพียงใด มันก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งสายตาต่อไปได้ ข้าพเจ้ายอมจำนน ดับโคมไฟในห้อง ก่อนจะเคลื่อนตัวเข้าไปภายใต้มุ้งสีขาวที่กันข้าพเจ้าเสียจากฝูงแมลงอันไม่พึงประสงค์แล้วหลับลงในเวลาต่อมา
เสียงฝนตกกระทบหลังคายามดึกปลุกข้าพเจ้าจากการหลับใหล ข้าพเจ้าควานหากล่องบุหรี่ที่หัวนอน แต่ไม่พบ นิสัยที่ต้องสูบบุหรี่เป็นสิ่งแรกหลังการลืมตาเป็นสิ่งที่แก้ไม่หาย ข้าพเจ้ายันกายขึ้น เปิดโคมไฟหัวนอน แต่แทนการพบกล่องบุหรี่ ข้าพเจ้ากลับพบหญิงสาวคนหนึ่งในห้องแทน
หญิงสาวผู้นั้นเป็นบุคคลเดียวกับผู้ที่ข้าพเจ้าเห็นเธอในช่วงเย็นที่ผ่านมา เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวที่ข้าพเจ้านั่งก่อนนอน พร้อมกับเปิดนวนิยาย แม็กซ์ ฮาเวลลา อ่านอย่างช้าๆ เมื่อพบว่าข้าพเจ้าตื่นขึ้น เธอก็วางนวนิยายเล่มนั้นลงบนโต๊ะข้างๆ ก่อนจะทักทายข้าพเจ้าเป็นภาษาดัตช์ว่า “มิสเตอร์ไฮน์ริช เบิล ข้าพเจ้าต้องขออภัยที่ถือวิสาสะมารบกวนท่านกลางดึกเช่นนี้ แต่มีเหตุด่วนที่ข้าพเจ้าต้องแจ้งต่อท่านโดยไม่อาจประวิงเวลาไว้ได้ ดังนั้นหากท่านจะเสียสละเวลาสนทนากับข้าพเจ้าสักเล็กน้อย ข้าพเจ้ารับประกันว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าจะพูดนั้นเป็นประโยชน์ต่อท่านอย่างยิ่ง” ข้าพเจ้าเปิดมุ้งออก นั่งลงกับขอบฟูกนอน อำนาจแห่งแสงจันทร์ที่ลอดมาทางหน้าต่างเปิดโอกาสให้ข้าพเจ้าได้สังเกตหญิงสาวผู้นั้นอย่างละเอียดลออ เธอน่าจะมีอายุราวยี่สิบถึงยี่สิบห้าปี ผิวของเธอคล้ำละเอียดราวกับผงขมิ้น ใบหน้าของเธอถือได้ว่างดงาม หากแต่ใบหูของเธอนั้นดูยาวกว่าปกติ มีต่างหูเงินห้อยจากใบหูทั้งสองข้างของเธอ ดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว เธอแต่งกายในชุดของหญิงสาวชาวชวาในศตวรรษที่สิบเก้า อันได้แก่ เสื้อแขนกระบอกสีขาวที่ปักลวดลายบนตัวเสื้ออย่างวิจิตรบรรจง สร้อยสีเงินที่หน้าอกของเธอห้อยระย้าราวกับอุบะ ช่วงล่างของเธอปกคลุมด้วยโสร่งสีแดงสดที่ลงลวดลายเป็นนกฝูงหนึ่ง ข้าพเจ้าพบว่านอกจากใบหูของเธอแล้ว นิ้วของเธอก็ดูยาวกว่าบุคคลสามัญธรรมดาทั่วไปด้วย มันเรียวงามราวกับเทียนสีผึ้งที่เราใช้กันอย่างแพร่หลายตามแกลปราสาทโบราณในฤดูหนาว หากเธอเป็นหญิงชาวตะวันตกแล้วไซร้ ข้าพเจ้าคงลงความเห็นว่าเธอย่อมเป็นนักเปียโนฝีมือเลิศ แต่สำหรับหญิงชาวตะวันออกแล้ว ข้าพเจ้ามีความรู้น้อยเกินกว่าจะคาดเดาได้ว่าเธอมีทักษะเยี่ยงใดด้วยนิ้วที่เรียวยาวเช่นนั้น
“มิสเตอร์ไฮน์ริช เบิล ข้าพเจ้าทราบว่าท่านเดินทางมาจากเยอรมนี นั่นคือสิ่งที่ข้าพเจ้าทราบ แต่นอกจากนี้แล้ว ข้าพเจ้าไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับท่านเลย ดังนั้นเพื่อความเชื่อใจซึ่งกันและกัน หากท่านจะเปิดเผยสิ่งที่ท่านเปิดเผยได้เกี่ยวกับตัวท่าน ข้าพเจ้าจะมีความยินดีอย่างมาก” ราวกับต้องมนต์สะกด ข้าพเจ้าเริ่มต้นเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเอง นับแต่ถิ่นที่เกิดของข้าพเจ้าที่ไฮเดลเบิร์ก เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งในเยอรมนี การที่ในเมืองแห่งนั้นมีมหาวิทยาลัยชั้นเลิศทำให้ข้าพเจ้าฝักใฝ่กับการศึกษาด้านอักษรศาสตร์เป็นที่ยิ่ง ข้าพเจ้าเข้าเรียนในชั้นอุดมศึกษาด้านภาษาละตินและกรีก ก่อนจะทำการศึกษาภาษาฮิบรู อาหรับ และภาษาอื่นในระดับการศึกษาที่สูงกว่านั้น การศึกษาที่ว่าทำให้ข้าพเจ้าหลงใหลในงานเขียนมหากาพย์ของท่านกวีโอเมอร์ และชื่นชอบสุนทรพจน์อันเสนาะหูของเซนากา ตกหลุมรักในบทกวีของโอวิดและรูมี และอาจน้ำตาคลอได้เสมอเมื่อใครสักคนบรรเลงอุปรากรแห่งวิวัลดีให้ข้าพเจ้าได้สดับ อาจถือว่าข้าพเจ้าเป็นคนจิตใจอ่อนไหวในประการนี้ แต่อาจถือว่าข้าพเจ้าเป็นคนหัวใจเข้มแข็งที่ยังครองตนเป็นโสดจนปัจจุบัน
ข้าพเจ้ายึดอาชีพล่ามและนักแปลเป็นสัมมาอาชีวะ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ข้าพเจ้าเป็นล่ามประจำกองทัพเยอรมันในเขตการรบที่ซอมม์ แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นาน แต่นั่นก็ทำให้ข้าพเจ้าได้ลิ้มรสแห่งการสงคราม หลังสงครามเสร็จสิ้นลง ข้าพเจ้าโยกย้ายตนเองไปอยู่ฟลอเรนซ์ ที่นั่นข้าพเจ้าทำงานให้กับโครงงานบูรณะภาพเขียนที่อุฟฟิซี ชีวิตในอิตาลีสอนข้าพเจ้าให้รู้จักกับไวน์และอุปรากร ข้าพเจ้าได้แปลบทกวีของดันเตเป็นภาษาเยอรมันสองเล่ม เป็นงานที่ข้าพเจ้าภูมิใจจนทุกวันนี้ หลังจากนั้นข้าพเจ้าอพยพตนเองไปอยู่ที่อัมสเตอร์ดัม ข้าพเจ้าใช้เวลาที่นั่นในฐานะอาจารย์มหาวิทยาลัยที่สถาบันศิลปะไรจ์ส จนสงครามครั้งใหม่ประทุขึ้น ในครานี้มิตรสหายชาวดัตช์ที่บัดนี้ได้ตกเป็นเชลยสงครามเสียแล้วได้แนะนำข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าควรเดินทางออกจากยุโรปเสีย ก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้ายลง “ท่านควรไปอาณานิคมของเราที่สุดขอบตะวันออก ที่นั่นน่าจะให้ความสงบกับท่านมากกว่าที่นี่ ข้าพเจ้ายื่นใบลาออกจากงาน ซึ่งนั่นแทบไม่จำเป็น เพราะกองทัพเพื่อนร่วมชาติของข้าพเจ้าได้ยุติทุกอย่างลงหมดแล้ว ข้าพเจ้าโดยสารเรือผ่านคลองสุเอซ เมื่อขึ้นฝั่งครั้งแรกที่กัลกัตตา ข้าพเจ้าผูกมิตรกับนายท่าชาวฮินดูคนหนึ่ง เขาเป็นผู้นำพาข้าพเจ้าเข้าสู่โลกแห่งบทโศลกของตะวันออก ข้าพเจ้าอ้อยอิ่งกับรามายณะของท่านกาลิทาสอยู่ที่นั่นเนิ่นนานจนสงครามตามมาถึง ข้าพเจ้าออกเดินทางอีกครั้งด้วยเรือโดยสารของญี่ปุ่นชื่อนิชิมารุ และนั่นคือเหตุผลที่ข้าพเจ้ามาที่นี่ มาอยู่เบื้องหน้าท่าน”
หญิงสาวผู้นั้นนั่งฟังเรื่องราวอันสังเขปของข้าพเจ้าด้วยอาการสงบ เธอไม่ได้แสดงอาการคล้อยตาม ปฏิเสธ หรือยอมรับใดๆ มีแต่การฟังเท่านั้นที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าเธอยังตั้งมั่นในอารมณ์เช่นนั้น เมื่อข้าพเจ้าจบการสาธยายของตนลง เธอก็เอ่ยขึ้นว่า “แล้วไฉนจึงเป็นบันดุง ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเป้าหมายการเดินทางต่อไปของท่านคือบันดุง ไฉนจึงเป็นบันดุง เมืองที่แทบไม่มีความสำคัญใดๆ เลยในโลก หรือในจักรวาลนี้”
ข้าพเจ้าถอนหายใจ แม้ว่าการเดินทางไปบันดุงของข้าพเจ้าจะไม่เป็นความลับสำคัญอันใด ข้าพเจ้าไม่ใช่สายลับ ไม่ใช่จารชน ข้อนั้นข้าพเจ้ารู้ตนเองแน่ ทว่าการรักษาความลับของผู้ที่ว่าจ้างข้าพเจ้าในกิจการอันเป็นส่วนตนนั้นเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ายึดถือมาโดยตลอด “ภูเขาไฟ” ข้าพเจ้าเอ่ย “ตังกูบัน ปาราฮู ข้าพเจ้าอยากเห็นไอร้อนพวยพุ่งจากภูเขาแห่งนั้น ข้าพเจ้าเคยเห็นมันจากภาพถ่ายเก่าแก่ และนั่นทำให้ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะเห็นภาพจริงสักครั้ง”
“นั่นเป็นคำตอบที่ดีมาก ตังกูบัน ปาราฮู สามารถรอท่านได้ มีเรือสองลำจะออกจากท่าในวันรุ่งขึ้น ลำแรกจะออกเดินทางไปมากาซาร์ในสุลาเวสี ที่นั่นท่านจะเพลิดเพลินกับการศึกษานกแปลกๆ ได้ไม่สิ้นสุด อีกลำหนึ่งนั้นจะเดินทางขึ้นไปนครเมดาน ที่นั่นอีกเช่นกันที่ท่านจะมีโอกาสศึกษาภาษาและวัฒนธรรมของชาวบาตักที่ข้าพเจ้าเชื่อว่ายังไม่มีผู้ใดทำสำเร็จมาก่อนเลย เรือทั้งสองลำจะออกจากท่าพร้อมกันในเวลาเที่ยงตรง ข้าพเจ้าเชื่อว่าข้าพเจ้ายังไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริงในการเดินทางไปบันดุงของท่าน สิ่งที่ข้าพเจ้าทราบคือท่านไม่ควรไปที่นั่นโดยเด็ดขาด แม้ท่านจะเคยผ่านศึกสงคราม แต่การเดินทางไปบันดุงครานี้จะเป็นดังการเอาชีวิตท่านไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายเหนือเหตุการณ์ใดๆ ที่ท่านเคยประสบมา ข้าพเจ้ารับหน้าที่มาแจ้งต่อท่านเพียงเท่านี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะถือเอาคำพูดของข้าพเจ้าเป็นเรื่องสำคัญเพราะหากมิเป็นเช่นนั้นแล้ว การเสี่ยงภัยมาที่นี่ของข้าพเจ้าคงไร้ผลโดยสิ้นเชิง”
หญิงสาวผู้นั้นลุกขึ้นจากเก้าอี้ ส่วนข้าพเจ้านั้นลุกไปเผชิญหน้าเธอ “ท่านจะบอกชื่อของท่านได้หรือไม่? ข้าพเจ้าเอ่ยถึงตนเองมากมายนัก แต่ข้าพเจ้าหวังแค่เพียงชื่อของท่านเป็นกำนัล” หญิงสาวผู้นั้นยิ้มให้ข้าพเจ้า เป็นรอยยิ้มที่เศร้าสร้อยจนหัวใจของข้าพเจ้าเจ็บแปลบ “ชื่อที่แท้ของข้าพเจ้านั้นยืดยาวเกินไป และหากเราจะได้พบกันอีก ท่านคงลืมมันเสียแล้ว เรียกข้าพเจ้าว่าบุหรง อันเป็นชื่อที่ท่านคงไม่ลืมมันโดยง่าย แต่สิ่งที่ท่านไม่ควรลืมอย่างที่สุดคืออย่าเดินทางไปบันดุง อย่าไปที่นั่น อย่าไปที่นั่นเป็นอันขาด”
แทนคำตอบรับ หญิงสาวผู้นั้นเดินผ่านข้าพเจ้าไปที่ประตู ข้าพเจ้าจำไม่ได้แน่ชัดว่าเธอได้เปิดประตูออกไปหรือไม่ แต่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงนกร้องจากภายนอก ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเคาะประตู ข้าพเจ้าเชื่อว่าสิ่งนี้มิใช่ความฝัน ในหูของข้าพเจ้ามีถ้อยคำว่า อย่าไป อย่าไปเป็นอันขาด ของหญิงสาวผู้นั้นดังอยู่ในโสตประสาทแทบ ตลอดเวลา
——————
บทที่สี่
เป็นมาเม็ตนั่นเองที่เป็นผู้เคาะประตู เขาแสดงท่าทีแปลกใจเมื่อพบว่าข้าพเจ้าอยู่ในสภาพที่ตื่นเต็มที่แทนอาการงัวเงียยามรุ่งสางเยี่ยงบุคคลทั่วไป เขายื่นกระเป๋าเอกสารที่ทำจากหนังชั้นดีให้ข้าพเจ้าใบหนึ่ง พร้อมกับแจ้งว่ารถของเราพร้อมจะออกเดินทางในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้านี้แล้ว ข้าพเจ้ารับกระเป๋าเอกสารจากเขาและตั้งใจจะสอบถามถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เห็นในเย็นวาน แต่เขาผละจากข้าพเจ้าไปโดยเร็วก่อนที่ข้าพเจ้าจะมีบทสนทนาใด ข้าพเจ้าจัดแจงอาบน้ำแต่งตัวและรับประทานอาหารเช้าโดยลำพังที่ห้องอาหารด้านล่าง และแทบจะทันทีที่ข้าพเจ้าวางมีดหั่นเนื้อในมือลง มาเม็ตก็ตรงมารับเอาสัมภาระของข้าพเจ้าไปบรรทุกไว้ท้ายรถ และก่อนพระอาทิตย์จะส่องแสงแรงกล้า เราทั้งคู่ก็เริ่มต้นการเดินทางไปบันดุง
มีกลิ่นหอมประหลาดจากที่นั่งด้านหลัง ข้าพเจ้าพยายามทบทวนสำนึกว่าเคยได้กลิ่นหอมนั้นจากที่ใด และแล้วข้าพเจ้าก็นึกออก กลิ่นนั้นเป็นกลิ่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าได้สูดนาสิกจากหญิงสาวลึกลับเมื่อคืนก่อน ข้าพเจ้าสอบถามมาเม็ตว่า หลังจากเขาส่งข้าพเจ้าที่โรงแรมในเย็นวานแล้ว เขาได้นำรถออกไปทำกิจการอื่นหรือไม่ มาเม็ตตอบกับข้าพเจ้าเพียงสั้นๆ ว่าไม่ อันทำให้ข้าพเจ้าหมดหนทางที่จะสอบสวนเขาอีก ระหว่างเส้นทางที่รถแล่นผ่านกลางใจเมือง ข้าพเจ้าฉุกคิดได้ว่าควรให้มาเม็ตแวะที่สถานกงสุลเยอรมนีสักชั่วครู่ เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องแจ้งแก่สถานกงสุลว่าข้าพเจ้าได้ปรากฏตัวที่ชวาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อข้าพเจ้าจะต้องออกเดินทางไปในดินแดนที่ไกลจากศูนย์กลางเข้าทุกที มาเม็ตรับคำอย่างเงียบๆ เขาขับเลี้ยวรถไปทางถนนบารัต ก่อนจะจอดรถที่หน้าสถานกงสุลบนถนนเซลาตัน ข้าพเจ้าลงจากรถและเดินตรงเข้าไปในดินแดนเอกสิทธิ์แห่งนั้น หลังจากลงรายชื่อและแจ้งแผนการเดินทางคร่าวๆ ของข้าพเจ้าแก่เจ้าหน้าที่แล้ว ข้าพเจ้าก็เก็บปากกาหมึกซึม เหน็บมันที่กระเป๋าเสื้อ และพร้อมจะออกเดินทางอีกครั้ง ขณะนั้นเองผู้เป็นเจ้าหน้าที่ได้เอ่ยขึ้นว่า “แฮร์ไฮน์ริช เบิล คุณไฮน์ริช เบิล ใช่ไหม” เมื่อข้าพเจ้ารับว่าใช่ หญิงผู้เป็นนายทะเบียนบุคคลก็ยื่นกระเป๋าเอกสารใบหนึ่งให้กับข้าพเจ้า “มีหญิงสาวคนหนึ่งฝากกระเป๋าเอกสารไว้ให้คุณเมื่อเช้านี้ เธอแจ้งเราว่าไม่ต้องกังวล คุณจะมารับมันด้วยตนเอง” ข้าพเจ้ารับกระเป๋าเอกสารใบนั้นจากเธอ มันเป็นกระเป๋าเอกสารแบบเดียวกันกับที่มาเม็ตมอบให้ข้าพเจ้าเมื่อเช้านี้ สรุปตอนนี้ข้าพเจ้ามีกระเป๋าแบบเดียวกัน สีเดียวกันถึงสองใบอยู่ภายใต้การครอบครองในเวลาเพียงหนึ่งวัน
ข้าพเจ้ากลับมาที่รถพร้อมกับความรู้สึกกังวลใจ แต่มาเม็ตดูจะไม่ใส่ใจในสีหน้าข้าพเจ้า เขาออกรถโดยไม่ลังเล พวกเราทิ้งห่างปัตตาเวีย มุ่งหน้าสู่โบกอร์ มาเม็ตเงียบขรึมลงกว่าเมื่อวาน หรือหากจะกล่าวให้ถูกต้องคือเขาเงียบขรึมลงหลังจากข้าพเจ้าถามถึงหญิงสาวคนนั้น ก่อนถึงโบกอร์ ด่านตรวจของหน่วยทหารญี่ปุ่นหน่วยหนึ่งได้ทำการหยุดรถของเรา ข้าพเจ้ายื่นเอกสารประจำตัวให้พวกเขาตรวจดู สิ่งที่ข้าพเจ้ารับรู้ได้ถึงความแตกต่างของด่านตรวจแห่งนี้กับที่อื่นคือกำลังพลที่หนาแน่นกว่าปกติ นายทหารที่ควบคุมด่านคนหนึ่งพลิกเอกสารการเดินทางของข้าพเจ้าในมือของเขาไปมา ก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาในรถ “ท่านจะเดินทางไปที่ไหน” “บันดุง” ข้าพเจ้ากล่าว “เพื่อ?” “เพื่อพบมิตรของข้าพเจ้าคนหนึ่ง ข้าพเจ้ามีอาชีพเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยด้านประวัติศาสตร์ และมีเรื่องสาระสำคัญเกี่ยวกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์บางชิ้นที่ต้องขอความเห็นจากเขา” “เพื่อนของท่านเป็นคนชาติอะไร” “สยาม” ข้าพเจ้าตอบเพียงสั้นๆ สีหน้าของนายทหารผู้นั้นดูผ่อนคลายขึ้นมากเมื่อทราบว่ามิตรสหายของข้าพเจ้าเป็นฝ่ายเดียวกับเขา “หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับโครงกระดูกของมนุษย์ชวา” เขายิ้มให้ข้าพเจ้า “เราจะเอามันคืนจากพวกดัตช์เร็วๆ นี้” เขาหัวเราะก่อนจะคืนเอกสาร แต่แล้วเมื่อเขาแลเห็นใบหน้าของมาเม็ต สารถีของข้าพเจ้า เขาก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นอีก ก่อนจะออกคำสั่งกับมาเม็ตว่า “แกต้องขับรถตรงไปบันดุงในรวดเดียว อย่าแวะที่ใด ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตามที”
มาเม็ตพารถของเราแล่นผ่านโบกอร์อย่างรวดเร็วราวกับเขามีเจตนาจะปฏิบัติตามคำแนะนำของนายทหารผู้นั้น เราเดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว และข้าพเจ้าก็หวังจะได้รับประทานอาหารกลางวันอย่างสงบที่บันดุง ทว่าเมื่อพ้นตัวเมืองก็ปรากฏร่างของชายชาวชวาหลายคนที่เปลือยกายและถูกแยกแขนและขามัดเข้ากับต้นไผ่ริมทาง ร่างของพวกเขาลอยคว้างราวกับดาวกระจายที่ถูกตรึงอยู่กลางอากาศ มีทหารญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งเดินตระเวนไปมารอบๆ พวกเขาอย่างเกียจคร้าน ข้าพเจ้าถามมาเม็ตว่าภาพที่เห็นนั้นคืออะไร เขาตอบข้าพเจ้าว่ามันคือวิธีการทรมานนักโทษแบบหนึ่งของพวกทหารญี่ปุ่น โดยจะปล่อยให้ไผ่ค่อยๆ แทงยอดขึ้นจนกว่าจะทะลุตัวผู้เป็นนักโทษ “พวกนี้เป็นโจรที่ต่อต้านกองทัพญี่ปุ่น” มาเม็ตเอ่ย ข้าพเจ้ากล่าวกับมาเม็ตว่าช่างเป็นการทรมานที่โหดร้ายมาก “โหดร้ายหรือ” “คุณไม่ควรพูดเช่นนั้นจนกว่าจะได้เห็นผู้ที่ร่างกายถูกมัดจนแน่น ก่อนจะชโลมด้วยน้ำผึ้งและถูกโยนเข้าไปในรังมดป่า และปล่อยทิ้งไว้เช่นนั้นจนกว่าจะตาย”
ภาพที่หวาดเสียวเช่นนั้นทำให้จิตใจของข้าพเจ้าขมึงเครียดขึ้น ข้าพเจ้ากำจัดความกดดันที่ว่านั้นด้วยการเปิดกระเป๋าเอกสารที่มาเม็ตมอบให้ ภายในนั้นมีกระดาษสีขาวปึกใหญ่ที่พิมพ์ดีดด้วยตัวพิมพ์สีดำอย่างประณีตบรรจง มีเพียงกระดาษแผ่นเเรกเท่านั้นที่ถูกเขียนด้วยลายมือ ข้าพเจ้าจำได้ในทันทีว่านั่นคือลายมือของกรมพระฯ นั่นเอง
“แฮร์ไฮน์ริช เบิล เมื่อท่านได้มีโอกาสอ่านเอกสารชุดนี้ นั่นหมายความว่าท่านได้ตกลงรับข้อเสนอที่จะแปลงานเขียนว่าด้วยความทรงจำของข้าพเจ้า สิ่งที่ข้าพเจ้าส่งมานั้นเป็นเพียงร่างแรกของงานชิ้นนี้ ข้าพเจ้าเขียนมันเป็นภาษาเยอรมัน อันเป็นภาษาที่ข้าพเจ้าคุ้นชินตั้งแต่ได้รับการศึกษาด้านการทหารที่นั่น และเชื่อว่าคงทำให้ท่านอ่านมันได้สะดวกราบรื่นกว่าในภาษาอื่น รายละเอียดด้านความทรงจำของข้าพเจ้านั้นมีมากมาย แต่ว่าท่านอาจละเลยสิ่งนั้นไปได้ ข้าพเจ้าปรารถนาให้ท่านมุ่งความสนใจไปที่สำนวนและกลวิธีการเล่าเรื่อง อันเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าเชื่อว่าตนเองยังคงบกพร่องอยู่มาก หลังอ่านจนจบสิ้น ท่านสามารถเสนอการแก้ไขและดัดแปลงได้อย่างสมบูรณ์ โดยข้าพเจ้าพร้อมจะมอบเวลายามบ่ายให้กับท่านทุกเมื่อในช่วงเวลาที่ท่านพำนักอยู่ในบันดุง ช่วงเวลาน้ำชายามบ่ายของข้าพเจ้านั้นเริ่มต้นที่บ่ายสองโมง และการมีคู่สนทนาที่ใฝ่ใจในทางอักษรศาสตร์มาร่วมวงนั้นเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่งในยามนี้”
ด้วยความนับถือ
บี.พี
ข้าพเจ้าพลิกหน้าแรกที่มีลายมือของกรมพระฯ ไปยังหน้าถัดไป ชื่อของเอกสารชุดนั้นคือ ‘ความทรงจำแห่งวัยสนธยา’ ตัวอักษรภาษาเยอรมันที่คมชัดจนข้าพเจ้าเชื่อว่าถูกเคาะลงมาโดยเครื่องพิมพ์ดีดชั้นดีอย่างเรมิงตันเริ่มเรื่องว่า
“แม้จะมีข่าวลือเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในวันที่ 6 เมษายนก็ตามที ทว่าประชาชนแห่งสยามดูจะมิได้ใส่ใจในข่าวลือที่ว่าแม้เพียงน้อยนิด สะพานปฐมบรมราชานุสรณ์ที่เพิ่งสร้างเสร็จสมบูรณ์สำหรับงานสมโภชฯ ครั้งนี้ได้สร้างความปีติร่าเริงใจให้แก่ประชาชนทั้งฝั่งพระนครและธนบุรี ที่บัดนี้ได้เชื่อมเข้าเป็นหนึ่งด้วยทางสัญจรอันทันสมัยแทนการลงเรือพายหรือเรือรับจ้างที่ลอยลำไปมาในแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นเส้นโลหิตสำคัญของเรา คืนวันที่ 5 เมษายนนั้น ผู้คนในชุดอาภรณ์หลากสีและใหม่เอี่ยมปานกับแกะกล่องจากห้างแบดแมนหรือห้างใดๆ ก็ตามได้พากันออกมาเดินเที่ยวงานเฉลิมฉลองกันอย่างครึกครื้น ยวดยานพาหนะสัญจรไปมาตลอดคืน ถนนทุกสายถูกปัดกวาดจนสะอาดสะอ้านตา ในแม่น้ำเจ้าพระยามีเรือรบจอดทอดสมอเรียงรายสำหรับขบวนพยุหยาตราในวันรุ่งขึ้น ข่าวลืออันไม่เป็นมงคลนั้นดูจะไม่อาจมาแผ้วพานงานเฉลิมฉลองอันเปี่ยมด้วยความสุขนี้ได้”
เมื่อข้าพเจ้าอ่านถึงข้อความท่อนนั้น รถยนต์ของเราก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ข้าพเจ้าชะโงกหน้าออกไปนอกรถ แลเห็นสะพานไม้ขนาดใหญ่อยู่เบื้องหน้า แต่เมื่อข้าพเจ้ามองตามสายตาของมาเม็ต ข้าพเจ้ากลับพบสิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่า ที่แม่น้ำเบื้องล่างมีร่างของทหารญี่ปุ่นนายหนึ่งก้มหน้าลอยอยู่ในลำน้ำ ข้าพเจ้าเปิดประตูรถออกและเริ่มไต่ลงไปตามทางดินลื่นๆ ใต้สะพานโดยมีมาเม็ตตามมาติดๆ เมื่อไปถึงริมแม่น้ำ มาเม็ตก็ถลกขากางเกงของเขาและฝ่าสายน้ำไปนำร่างที่ไร้วิญญาณขึ้นมายังริมฝั่ง ข้าพเจ้าพลิกร่างของทหารเคราะห์ร้ายคนนั้นขึ้น เขามียศร้อยตรี ทรงผมสั้นเกรียน นัยน์ตาที่เล็กเรียวของเขาดูจะเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิม ตลอดตัวและเครื่องแบบของเขาไม่มีร่องรอยของบาดแผลใดๆ เว้นแต่ที่ลำคอซึ่งมีสีเขียวคล้ำและแทบจะฉีกขาดออกจากลำตัว ข้าพเจ้าพินิจบาดแผลนั้นและลงความเห็นคร่าวๆ ว่าทหารผู้นี้ได้ตกเป็นเหยื่อสังเวยมีดอันแสนคมเสียแล้ว และก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้มีความเห็นอื่นอีกต่อไป ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงบุคคลอื่นทางด้านหลัง ข้าพเจ้าหันกลับไปมอง และนั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้เผชิญหน้ากับพันตรีโทรุ ซากาโมโตะ บุคคลในตำนาน
——————
(ติดตามตอนต่อไปในวันเสาร์ที่ 23 กันยายน 2560)
ภาพประกอบ: Karin Foxx