เมื่อวานนี้ (23 พฤศจิากยน) ศุภมิตร ปาณธูป รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุตรดิตถ์ เปิดเผยว่า หลังพบนักเรียนโรงเรียนอนุบาลอุตรดิตถ์ แห่งที่ 1 อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ ติดเชื้อโควิดตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยล่าสุดพบนักเรียนและผู้ปกครองติดเชื้อทั้งหมด 19 ราย มาจากหลายสาเหตุ แต่จุดที่พบเชื้อ อยู่ในอาคารและสภาพแวดล้อมเดียวกัน คือเป็นอาคารเรียนสองภาษา ซึ่งจากการลงพื้นที่ของเจ้าหน้าที่พบว่า อาคารเรียนที่พบการติดเชื้อในห้องเรียนมีการเว้นระยะห่างของโต๊ะและเก้าอี้ไม่ถึง 1 เมตร และมีนักเรียนเต็มห้อง ทำให้มีโอกาสเสี่ยงติดเชื้อได้
นอกจากนี้ยังมีจุดที่เป็นข้อสังเกตอีกอย่างในอาคารเรียนมีจุดที่สัมผัสร่วมของนักเรียนคือราวบันได ประตูห้องเรียนที่เป็นแบบกระจกบานเลื่อน ตู้ทำน้ำเย็น ซึ่งต้องมีการทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วมอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง และต้องให้เด็กล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์เป็นประจำ
โดยคลัสเตอร์โรงเรียนอนุบาลอุตรดิตถ์ แห่งที่ 1 ยังพบกลุ่มเสี่ยงสูงต้องกักตัว 14 วันมากถึง 438 ราย ขณะเดียวกันโรงเรียนได้ประกาศหยุดเรียนกรณีพิเศษ 3 วัน ซึ่งทางคณะกรรมการควบคุมโรคจังหวัดกำลังพิจารณาอาจขอขยายเป็น 14 วัน เนื่องจากพบผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนและกลุ่มเสี่ยงสูงมีจำนวนมาก ประกอบกับเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่มีนักเรียนรวมบุคลากรมากกว่า 2,700 คน
ศุภมิตรกล่าวต่อไปว่า ภาพโดยรวมตั้งแต่เปิดภาคเรียนที่ 2 วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นมา พบนักเรียนนักศึกษาติดเชื้อแล้ว 45 ราย กระจายใน 5 อำเภอ คือ อำเภอเมืองอุตรดิตถ์, ลับแล, น้ำปาด, ท่าปลา และบ้านโคก โดยมีเด็กติดเชื้อแล้วมาเรียนในโรงเรียน ซึ่งทำให้เกิดในคลัสเตอร์โรงเรียน 2 แห่ง คือโรงเรียนชุมชนไผ่ล้อมวิทยา ในอำเภอลับแล และโรงเรียนอนุบาลอุตรดิตถ์ แห่งที่ 1
ทั้งนี้การคัดกรองด้วยเครื่องเทอร์โมสแกนที่ใช้ตามจุดเข้าออกสถานที่ต่างๆ นั้น ใช้เพื่อสแกนอุณหภูมิร่างกาย เป็นการคัดกรองได้ระดับหนึ่งเท่านั้น ถ้าเด็กไม่มีไข้ ก็ไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าป่วย ซึ่งการติดเชื้อในระยะหลังผู้ติดเชื้อมักไม่มีไข้ แต่การคัดกรองที่สำคัญคือการประเมินอาการเสี่ยงของนักเรียนทุกวัน โดยการซักถามก่อนเข้าห้องเรียนหรือโรงเรียน และติดตามเมื่อนักเรียนหยุดเรียน เน้นมาตรการป้องกัน 44 ข้ออย่างสม่ำเสมอ