Ascena Retail Group กลายเป็นผู้ค้าปลีกรายล่าสุดของสหรัฐอเมริกา ต่อจากยักษ์ใหญ่รายอื่นๆ เช่น J.Crew, J.C. Penney, Neiman Marcus และ Brooks Brothers ที่ต้องเดินทางมาสู่จุดหมายที่เรียกว่า ‘การล้มละลาย’ โดยมีหนึ่งในต้นเหตุคือวิกฤตโควิด-19 ที่ได้เข้ามาทำให้ธุรกิจยักษ์ใหญ่ในกลุ่มค้าปลีกต้องยื่นล้มละลายเป็นใบไม้ร่วง
ในช่วงเวลาที่รุ่งเรือง Ascena Retail Group นับเป็นเชนยักษ์ใหญ่ในหมู่เสื้อผ้าผู้หญิง และมีแบรนด์ที่หลากหลายอยู่ในมือเช่น Ann Taylor, LOFT, Lou & Grey, Lane Bryant, Cacique, Catherines และ Justice แต่ล่าสุดได้ยื่นล้มละลายภายใต้ Chapter 11 ในวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยหวังว่าจะช่วยให้ธุรกิจสามารถฟื้นฟูกิจการ โดยเลี่ยงที่จะต้องปิดตัวอย่างถาวร ช่วยให้ลดหนี้ตลอดจนปิดร้านค้าที่อ่อนแอเพื่อลดต้นทุน
จริงๆ แล้ววิกฤตของ Ascena Retail Group ก่อตัวตั้งแต่ก่อนจะเจอโรคระบาดใหญ่เสียอีก จุดเริ่มต้นของปัญหานั้นมาจากการเข้าไปกว้านซื้อแบรนด์อื่นๆ เข้ามาเสริมในพอร์ตช่วงระหว่างปี 2005-2015 ทว่าแทนที่จะเติบโตเพราะมีแบรนด์อื่นๆ เข้ามาเสริม แต่กลับต้องเจอกับความท้าทายอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนรสนิยมของลูกค้า และแพลตฟอร์มใหม่เช่น Rent the Runway และ Stitch Fix เข้ามาตีตลาด ทำให้ยอดขายลดลง และยังมีปัญหาเมื่อเจอกับวิกฤตโควิด-19 เข้ามาซ้ำเติม ที่สุดแล้วจึงอยู่ไม่ได้
ตามเอกสารที่ยื่นต่อศาลพบว่า Ascena Retail Group มีหนี้สินทั้งหมดประมาณ 1.25 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.96 แสนล้านบาท ล่าสุดได้มีการเจรจากับเจ้าหนี้บางส่วนไปแล้ว โดยคาดว่าหนี้ประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.17 หมื่นล้านบาทจะหายไป นอกจากนี้บริษัทจะได้เงินทุนจากผู้ถือหุ้นเดิมประมาณ 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับนำมาประคองในระหว่างฟื้นฟูกิจการ
สำหรับแผนการพลิกฟื้นธุรกิจนั้น หลังจากนี้พนักงานบางส่วนจากจำนวนทั้งหมด 40,000 คนจะต้องตกงาน เพราะบริษัทมีแผนที่จะปิดร้านค้าบางส่วนในสหรัฐอเมริกา และปิดร้านค้าทั้งหมดในแคนาดา เปอร์โตริโก และเม็กซิโก
โดยจำนวนร้านค้าจะลดจาก 2,800 สาขา เหลือเพียง 1,200 สาขา หรือลดลง 1,400 สาขา หากเป็นไปได้จะลดให้เหลือน้อยที่สุด โดยขึ้นอยู่กับการเจรจากับเจ้าของสถานที่ แบรนด์ที่จะต้องปิดมีทั้ง Ann Taylor, Loft, Lane Bryant และ Lou & Grey ขณะเดียวกันยังวางแผนที่จะขายแบรนด์บางส่วนออกไปด้วย
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: