Q: เราเป็นหัวหน้าที่สัมผัสได้ว่าลูกน้องไม่รัก เพื่อนร่วมงานก็ไม่อยากทำงานด้วย เพราะเราเป็นคนเกรี้ยวกราด ที่จริงแล้วเราเป็นคนจริงจังในการทำงานมาก เราเป็นเพอร์เฟกชันนิสต์ที่ไม่อยากให้งานมีข้อผิดพลาดใดๆ ทั้งนั้น เวลาเราเจอคนรอบข้างทำงานออกมาไม่ดีเราก็หงุดหงิด เราปรี๊ดง่ายมาก หลายครั้งเราพูดแรงๆ กับคนที่เราทำงานด้วยจนกลายเป็นนิสัยที่ทำให้พออ้าปากเมื่อไรก็พร้อมจะพูดแรงๆ ใส่คนอื่น เรารู้สึกรังเกียจตัวเองเหมือนกันที่เป็นแบบนี้ เราไม่ชอบตัวเองเลย และก็รู้ว่าคงไม่มีใครชอบเรา เราควรทำอย่างไรดีคะ
A: อย่ารังเกียจตัวเองเลยครับ ผมว่าน่าชื่นชมนะครับที่คุณรู้ตัวและอยากปรับปรุงตัว นี่สิน่าให้กำลังใจตัวคุณเอง ไม่ใช่ทุกคนนะครับที่เกรี้ยวกราดทำร้ายคนอื่นแล้วจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป
สมัยเรียนจบปริญญาโทมาใหม่ๆ อายุสัก 25 ปีได้ ผมได้งานที่พีอาร์เอเจนซีแถวหน้าของประเทศ มีพี่ท่านหนึ่งที่ผมเคารพมาแสดงความยินดีกับว่าที่พนักงานใหม่อย่างผม และบอกผมว่า “ท้อฟฟี่ พี่ขอนะ ถ้าทำงานแล้วอย่าเปลี่ยนไปเป็นคนก้าวร้าวรุนแรงนะ ขอให้น้องเป็นน้องที่เป็นที่รักของคนอื่นแบบนี้ตลอดไป”
ตอนนั้นผมไม่เข้าใจหรอกครับว่าคนเราจะเปลี่ยนไปได้อย่างไร จนพอได้ทำงานที่ขึ้นชื่อว่าเครียดและกดดันมากเข้า และมันบีบให้เราต้องทำงานออกมาให้ดีที่สุดภายใต้สภาวะที่กดดันที่สุด เราต้องเจอกับคนทำงานที่หลากหลาย แต่ละคนมีวิธีการทำงานไม่เหมือนกัน มีปัญหาต่างกัน ผมจึงเริ่มเข้าใจว่าในภาวะแบบนี้นี่เองที่มันบีบคั้นสัญชาตญาณดิบให้เราสามารถน็อตหลุดได้ง่าย ผมได้เห็นทั้งคนที่เกรี้ยวกราดอาละวาดคนอื่นว่าเขาทำให้คนทุกข์แค่ไหนที่ต้องทำงานกับเขา พร้อมกับเห็นความโดดเดี่ยวที่เขาต้องเจอ เพราะไม่มีใครอยากอยู่ด้วย และได้เห็นคนที่ไม่เคยต้องตวาดใส่คนอื่น แต่คนรอบข้างสำนึกได้โดยอัตโนมัติว่าต้องทำงานออกมาให้ดีที่สุด ผมเห็นคนที่เจอความกดดันเหลือเกิน แต่ทำให้ทีมรู้สึกอยากฝ่าฟันไปด้วยกัน ไม่มีใครชี้นิ้วด่าใครว่าทำงานไม่ดี ไม่มีการพูดจาแรงๆ มันทำให้ผมเรียนรู้ว่าคนเราไม่จำเป็นต้องใช้ความเกรี้ยวกราดเพื่อแสดงอำนาจก็ทำงานด้วยกันได้ดีได้นี่นา
เปิดใจกับคุณตรงนี้เลยก็ได้ว่าสมัยก่อนโน้นผมก็เคยเครียดจนน็อตหลุดเหมือนกัน ดีหน่อยที่ผมก็รู้สึกอย่างคุณว่ามันไม่ใช่ตัวเราในเวอร์ชันที่เราจะชอบตัวเองสักเท่าไร และก็คิดแบบคุณนั่นแหละครับว่าอะไรที่เรารู้ตัวว่าเราน่าจะทำได้ดีกว่านี้ เราก็ต้องพยายามปรับปรุงตัว ผมเลยนึกถึงคำพูดของพี่ท่านนั้น
เวลาทำงานเราถึงต้องคอยสำรวจตัวเองบ่อยๆ ครับว่าวิธีการทำงานที่เราทำอยู่นี้ทำให้เรากลายเป็นคนแบบไหน ตอนนี้เราเป็นคนที่เราอยากเป็นอยู่หรือเปล่า ถ้าใช่ แปลว่าวิธีการทำงานแบบนั้นถูกต้อง แต่ถ้าไม่ใช่ แปลว่าวิธีการทำงานที่ทำอยู่นี้กำลังหล่อหลอมให้เรากลายเป็นคนแบบที่เราไม่อยากเป็น เราต้องหาวิธีการใหม่
นั่นแหละครับ ผมอยากชวนคุณและคุณผู้อ่านทุกท่านลองสำรวจตัวเองดูว่าตอนนี้เราเป็นคนแบบที่เราอยากเป็นหรือเปล่า เพราะคำถามนี้มันจะกำหนดวิธีการดำเนินชีวิตของเราไปตลอด
ชีวิตคนเราไม่ได้ยาวนานเป็นล้านปีหรอกครับ เรามีเวลาอยู่ด้วยกันไม่นาน เราจะฝากอะไรไว้ให้คนที่อยู่รอบตัวเรา นั่นคือโจทย์ การทำงานก็เหมือนกันครับ ระหว่างที่เราทำงานอยู่ด้วยกันนั้น เราได้ฝากความรู้สึกอะไรไว้ในใจเพื่อนร่วมงานบ้าง ตอนอยู่ขอให้เขารักเรา ให้เรามีคุณค่ากับเขา ตอนจากไปขอให้เขาเสียดายเรา เราอยากให้เขาจดจำเราแบบไหน เราก็ทำตัวแบบนั้นครับ ทำไปทุกวัน เขาก็จะจำเราแบบนั้นเอง
เวลากับคำพูดเป็นสิ่งที่เราเอาคืนมาไม่ได้ คำพูดบางอย่างเราอาจจะลืมไปแล้ว แต่มันไปทิ่มแทงหัวใจของคนฟังให้เขายังรู้สึกเจ็บก็เป็นได้ ยิ่งตอนโกรธอยู่ ถ้ารู้ว่าพูดแล้วจะพูดแรง อย่าเพิ่งพูดอะไรออกมา พูดมาแล้วพังหมด ในทางกลับกัน คำพูดดีๆ บางคำ พูดไปแล้วก็ไปงอกงามในใจคนฟังให้เขามีพลังต่อได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก่อนพูดให้คิดเสมอว่าคำพูดของเรามีพลัง จะเอาพลังนี้ไปทำลายหรือช่วยให้เขามีกำลังใจต่อ อยู่ที่เราล้วนๆ เลยครับ
ผมเข้าใจว่าคุณอยากทำงานออกมาได้ดี เพราะคุณรักงาน คุณอยากรับผิดชอบงานให้ดี แต่การโฟกัสงานจนต้องทำร้ายคนอื่นและทำร้ายตัวเองไปด้วยนั้น ต่อให้งานจะออกมาดีแค่ไหน มันว้าเหว่นะครับที่เรากอดใครให้ร่วมยินดีกับเราไม่ได้สักคน เพราะไม่มีใครอยากทำงานกับเรา
ลองนับดู ชีวิตคนเราใน 24 ชั่วโมงอยู่ในที่ทำงานมากขนาดไหน และทุกอย่างมีผลกระทบต่อกันหมด ถ้าเราทำงานอย่างมีความสุข เราจะกลับบ้านด้วยความสุข มันเป็นความสุขแบบโดมิโน ในทางกลับกัน ถ้าเราทำงานอย่างมีความทุกข์ เราจะทุกข์แบบโดมิโนเหมือนกัน คุณเห็นโอกาสอะไรไหมครับว่าถ้าเราทำให้เพื่อนร่วมงานทำงานกับเราด้วยความสุขได้ แปลว่าเราทำให้เขามีความสุขตั้งหลายชั่วโมงในหนึ่งวัน เราน่าจะใช้โอกาสในการที่เราได้ทำงานอยู่ด้วยกันทำให้คนมีความสุข คุณว่าไหมครับ
ผมเชื่ออย่างหนึ่งครับว่าผลลัพธ์ที่ดีมาจากกระบวนการที่ดีได้ ยิ่งถ้ากระบวนการดีมาก ผลลัพธ์ก็น่าจะดีมากตามไปด้วย กระบวนการที่ผมหมายถึงก็คือกระบวนการทำให้คนทำงานให้เราอย่างมีความสุข ผมเชื่อว่าถ้าคนเราทำงานด้วยความสุข เขาจะทำงานออกมาได้ดี เขาจะใส่ความปรารถนาดีลงในงาน แต่ถ้ากระบวนการมันเป็นไปด้วยความรู้สึกว่าไม่อยากทำงานกับคนนี้เลย เขาก็จะทำงานแบบไม่อยากทำ ทำแบบเขี่ยๆ ส่งมา มันเป็นการทำงานแบบไม่มีใจอยากจะทำ แม้ผลลัพธ์ออกมาเสร็จ แต่อาจจะไม่สำเร็จก็ได้นะครับ
ต้องกลับมาดูแล้วล่ะครับว่าที่คุณบอกว่าอยากให้งานออกมาดีนั้น ที่ผ่านมามันเป็นงานที่ ‘เสร็จ’ หรือ ‘สำเร็จ’ มันต่างกันอยู่มากนะครับ และมันมีผลต่อกระบวนการทำงานด้วยเหมือนกัน เพราะทำงานให้เสร็จนี่ไม่ต้องใช้ใจทำก็ได้ ไม่ต้องรักกันก็ได้ ตะบี้ตะบันไถงานกันไป ใครจะเป็นอะไรก็ช่าง แต่ถ้าทำงานให้สำเร็จต้องใช้ใจทำด้วย ทำด้วยความสุข ทำด้วยความรัก ทำงานเป็นทีม
ทีนี้ทำอย่างไรให้คนที่ทำงานกับเราทำงานด้วยความสุข ผมคิดว่ามันต้องมีทั้งเรื่อง Hard Skill และ Soft Skill นะครับ เรื่อง Hard Skill ผมคิดว่าเราต้องมาดูว่าเพื่อให้คนทำงานออกมาได้ดี เขาต้องมีทักษะอะไรบ้าง ต้องการข้อมูลอะไรบ้าง ต้องการการอธิบายอย่างไร ต้องการการทำงานใกล้ชิดแบบไหน ฯลฯ พวกนี้ล่ะครับคือการที่เรามองย้อนกลับมาดูตัวเราว่าจะ ‘ช่วย’ ให้งานของคนอื่นดีขึ้นได้อย่างไร
ถ้าเราเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้พร้อมหรือส่งเสริมเขาได้ เขาก็จะทำงานได้ดี ส่วน Soft Skill ก็เป็นเรื่องการสื่อสาร การจูงใจให้คนอยากทำงาน การที่เราให้พลังกับเขาเยอะๆ ให้กำลังใจเขา พูดกับเขาดีๆ แสดงความเป็นห่วงเป็นใยเขา ทำให้เขารู้สึกว่าเรามีความเป็นมนุษย์ให้กัน เราไม่ได้มาจิกหัวสั่งให้ใครทำงาน เราพร้อมที่จะดูแลกันและกันให้ผ่านทุกปัญหาไปได้ ขึ้นชื่อว่างาน มันมีปัญหาอยู่แล้วครับ แต่ให้คิดว่าเมื่อไรที่คนเจอเรา ขอให้เราทำให้เขารู้สึกดี เรามาพร้อมกับเรื่องที่เป็นบวกเสมอ ต่อให้มีปัญหา เราไม่มีคำว่าเหยียบย่ำซ้ำเติม แต่เจอเราแล้วทำให้เขากับเราอยากจับมือกันแก้ปัญหา ทำดีก็มีคำชมให้ตลอด เป็นกำลังใจ วันไหนต้องทำงานเหนื่อยๆ เราซื้อขนมเล็กๆ น้อยๆ มาเป็นกำลังใจให้เขานี่ผมว่าก็น่ารักแล้ว
ยิ่งถ้าคุณลองปรับจากเจอคุณเมื่อไรเป็นได้แผ่พลังลบใส่กันหรือต้องโดนคำพูดแรงๆ ทุกทีกลายเป็นคุณเริ่มให้กำลังใจคนเป็น คุณชื่นชมคนอื่นเป็น คุณพูดดีๆ กับคนอื่นได้ แน่นอนว่าการทำงานย่อมเจอปัญหา แต่ลองเปลี่ยนจากการสรรหาคำพูดแรงๆ เป็นการตั้งสติ ค่อยๆ พิจารณาหาทางแก้ปัญหา โกรธไปก็คิดอะไรไม่ออกหรอกครับ พูดกันด้วยเหตุผล ถ้าเราเชื่อมั่นว่าทุกปัญหามีทางออก และเชื่อว่ามันไม่เกินความสามารถของพวกเราที่จะแก้ได้ เราจะไม่มัวมาเสียเวลากับการหาคำพูดเจ็บๆ อาละวาดใส่กัน เพราะถึงด่าไปปัญหาก็ยังอยู่เหมือนเดิม เอาเวลาไปแก้ปัญหาดีกว่า แก้เสร็จ จบงานแล้วค่อยมาสรุปกันว่าจากปัญหาที่เกิดขึ้นเราควรป้องกันอย่างไร ไม่ต้องด่าให้เมื่อย คุณด่าก็คงเหนื่อยใช่ไหมครับ ฮ่าๆ ผมว่าทำแบบนี้จะทำให้คนทำงานกับคุณแล้วมีความสุขขึ้นมากกว่าเดิม ค่อยๆ ทำไปครับ และผมเชื่อว่าคนจะเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้
อย่างหนึ่งที่ผมอยากแนะนำให้คุณทำคือขอโทษเพื่อนร่วมงาน ผมอยากให้เพื่อนร่วมงานรู้เหลือเกินว่าคุณเองก็อยากปรับปรุงตัวเหมือนอย่างที่คุณบอกผม ผมคิดว่านี่เป็นความรู้สึกที่ดีนะครับ เพื่อนร่วมงานอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่าคุณเองก็ไม่สบายใจที่ตัวเองเป็นแบบนี้ ไม่ต้องคิดว่านี่เป็นการเสียฟอร์ม แต่ถ้าเราทำให้ใครรู้สึกไม่ดี เราก็ควรขอโทษ ยิ่งถ้าคุณมีลูกน้อง ผมคิดว่าการที่หัวหน้ากล้าขอโทษลูกน้องก็เป็นการสอนลูกน้องอย่างดีเลยนะครับ เขาควรจะได้เรียนรู้จากหัวหน้าว่าเมื่อทำผิดก็ต้องยอมรับผิดและขอโทษคนอื่น คุณควรสื่อให้คนรอบตัวรู้ว่าคุณเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา และคุณตั้งใจที่จะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น ผมเชื่อว่าคำว่าขอโทษจะเปลี่ยนสายตาที่มองคุณกลับมานะครับ
ยอมรับ ขอโทษ ปรับปรุง และลงมือทำจนการปรับปรุงนั้นกลายมาเป็นนิสัยที่ดีของเราให้คนเห็น และกลายเป็นตัวเราในเวอร์ชันที่เราอยากเป็น
ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
*ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai