วันนี้ (2 มีนาคม) จากกรณีที่เว็บไซต์ TasteAtlas จัดอับดับอาหารท้องถิ่นทั่วโลก และประกาศให้ปาท่องโก๋เป็นอันดับ 5 ของหวานสตรีทฟู้ดที่ดีที่สุดของโลก รวมถึงจัดอันดับเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์อย่างชาไทย ชาเย็น หรือชาสีส้ม ติดอันดับ 7 เครื่องดื่มที่อร่อยที่สุดในโลก
ด้าน นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ชาไทยหรือชาเย็น 1 แก้ว ปริมาณ 200 มิลลิลิตร ให้พลังงานประมาณ 430 กิโลแคลอรี ขึ้นอยู่กับสูตรของแต่ละร้าน มีคาร์โบไฮเดรต 69 กรัม ไขมัน 15 กรัม น้ำตาล 53 กรัม หรือประมาณ 13 ช้อนชา
เสน่ห์ของชาไทยจะใส่นมข้นหวาน น้ำตาลหรือนมสด เพื่อให้มีกลิ่นหอม รสชาติกลมกล่อม จากการสำรวจพฤติกรรมด้านสุขภาพของประชากร ปี 2564 พบว่า ประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไป บริโภคเครื่องดื่มชงประเภทชา กาแฟ น้ำหวาน ชานม สูงถึงร้อยละ 26.3 และกลุ่มอายุ 45-59 ปี ดื่มเครื่องดื่มชงมากที่สุดถึงร้อยละ 34.8
นพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า ในแต่ละวันร่างกายไม่ควรได้รับน้ำตาลที่มากเกิน 6 ช้อนชา ดังนั้นหากดื่มบ่อยหรือเป็นประจำทุกวันจะทำให้เกิดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หลอดเลือดสมองและหัวใจ มะเร็ง ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และโรคอ้วนลงพุงได้ วิธีดื่มชาไทยแบบใส่ใจสุขภาพคือควรสั่งแบบหวานน้อย ใส่น้ำตาลไม่เกิน 2 ช้อนชา รวมทั้งความหวานอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นนมข้น น้ำผึ้ง น้ำเชื่อม หรือไซรัปในเครื่องดื่มชงเย็นทุกประเภทไม่เกิน 2 ช้อนชาเช่นเดียวกัน
ส่วนปาท่องโก๋นอกจากจะติดอันดับของหวานสตรีทฟู้ดแล้ว จากข้อมูลของสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ ปี 2559 ยังระบุว่า ปาท่องโก๋เป็นอาหารยอดนิยมของคนไทยในหมวดกลุ่มเบเกอรีและอาหารว่างอีกด้วย แต่สำหรับคุณค่าทางโภชนาการ โดยสำนักโภชนาการ กรมอนามัย พบว่า ปาท่องโก๋ 100 กรัม ให้พลังงานถึง 441 กิโลแคลอรี มีคาร์โบไฮเดรต 40.56 กรัม ไขมัน 27.79 กรัม
นพ.สุวรรณชัย กล่าวต่อไปว่า ปาท่องโก๋ 1 คู่ขนาดกลาง จะมีน้ำหนักประมาณ 30 กรัม จึงให้พลังงานประมาณ 132 กิโลแคลอรี คาร์โบไฮเดรต 12 กรัม ไขมัน 8 กรัม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดว่าตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ปาท่องโก๋เป็นขนมที่มีคาร์โบไฮเดรตและไขมันอิ่มตัว รวมทั้งให้พลังงานสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มพลังงาน แต่ก็มีโซเดียมจากผงฟูหรือเกลือปรุงรสสูงด้วย จึงไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นไทรอยด์เป็นพิษและโรคความดันโลหิตสูง
“ปาท่องโก๋ส่วนใหญ่จะนิยมใช้น้ำมันทอดซ้ำ ซึ่งก่อให้เกิดสารโพลาร์ที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง ดังนั้นวิธีกินปาท่องโก๋แบบไม่อ้วนและครบถ้วนคุณค่าจึงควรเลือกปาท่องโก๋ที่ใช้น้ำมันใหม่ในการทอด สังเกตได้จากสีที่เป็นน้ำตาลอ่อน และไม่ควรกินเกิน 2 คู่ต่อวัน อาจกินพร้อมโจ๊ก ไข่ต้ม เพื่อให้ร่างกายได้รับโปรตีนหรือกินกับผลไม้ไม่หวานจัด น้ำเต้าหู้ชนิดไม่หวานเพิ่มธัญพืช เช่น ถั่วแดง เม็ดแมงลัก ข้าวบาร์เลย์ หรือลูกเดือย เพื่อเพิ่มใยอาหารช่วยดักจับไขมัน และเลี่ยงการกินปาท่องโก๋แบบจิ้มกับดิปปิ้งอื่นๆ” นพ.สุวรรณชัยกล่าว
นพ.สุวรรณชัย กล่าวต่ออีกว่า การกินมื้อเช้าที่ดีต่อสุขภาพควรหลีกเลี่ยงอาหารเช้าแบบเร่งด่วนที่ให้พลังงานสูงเกินไป หรือผ่านการทอดซ้ำๆ เช่น การกินปาท่องโก๋จิ้มนมข้นหวานกับเครื่องดื่มชาเย็น ควรรับประทานมื้อเช้าให้ครบ 5 หมู่ เน้นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน หรืออาหารประเภทแป้งที่ไม่ผ่านกระบวนการขัดสี ที่ยังคงคุณค่าของสารอาหารไว้ เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต เพราะมีใยอาหารสูง ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดทำให้รู้สึกอิ่มนาน กินคู่กับไข่ต้มหรือเนื้อไก่ที่ไม่ใช้น้ำมันในการปรุงมากเกินไปก็จะได้รับโปรตีนเพิ่มเติม รวมถึงผักผลไม้ เช่น มะเขือต่างๆ หอมหัวใหญ่ กระเทียม ถั่วเหลือง แอปเปิ้ล ฝรั่ง ส้ม มะละกอ เพื่อเพิ่มใยอาหารและวิตามิน ที่สำคัญอย่าลืมออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานควบคู่กันไปด้วย