×

ข้อควรรู้ก่อน ‘เปิดประตูหลัง’

25.08.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • ปัจจุบันมีชายรักชายเกินร้อยละ 90 และคู่รักหญิงชายร้อยละ 5-10 มีเพศสัมพันธ์ทางประตูหลัง
  • ไม่ว่าจะสอดใส่ทั้งหน้า หลัง หรือทางปากก็สามารถปนเปื้อนเชื้อโรคได้ ดังนั้นให้เปลี่ยนถุงยางอนามัยทุกครั้งที่เปลี่ยนช่องทางสอดใส่
  • การอาบน้ำร้อนก่อนมีเพศสัมพันธ์ และการนอนคว่ำตอนสอดใส่ร่วมกับการใช้สารหล่อลื่น สามารถบรรเทาการบาดเจ็บได้
  • ฝ่ายรับสามารถติดเชื้อเอชไอวีมากกว่าการร่วมเพศทางช่องคลอด 30 เท่า การมีเพศสัมพันธ์ทางประตูหลังจึงควรใช้ถุงยางอนามัยทุกราย

     ก่อนอื่นต้องยอมรับว่า ปัจจุบันเพศสัมพันธ์ทางประตูหลังไม่ใช่เรื่องที่น่าเขินอายกันอีกต่อไป ด้วยสถิติชายรักชายเกินร้อยละ 90 และคู่รักหญิงชายร้อยละ 5-10 มีเพศสัมพันธ์ทางประตูหลัง

     เพศสัมพันธ์ทางประตูหลังถือว่าเป็น ‘รสนิยม’ ตราบใดที่ไม่บังคับให้คนอื่นทำ หรือ

     ประกอบกิจเพราะความชอบทั้งสองฝ่ายก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่หากบังคับ อีกฝ่ายไม่ยินยอม ในประเทศไทยถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ส่วนในบางประเทศ การกระทำนี้แม้จงใจสมยอมกันทั้งสองฝ่ายก็ยังถือว่าเป็นความผิดทางศาสนาและทางกฎหมาย

     ว่าแต่ข้อควรรู้ในการเข้าทางประตูหลังนั้นมีอะไรบ้าง เหล่านี้คือสิ่งที่คุณควรทราบและคำนึงถึง

 

ข้อดีของเพศสัมพันธ์ทางประตูหลัง

      1. เป็นการคุมกำเนิด ไม่ทำให้ท้อง เพราะอสุจิไม่สามารถเล็ดลอดเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ได้ (ยกเว้นมีการปนเปื้อนของอสุจิที่ปากทางเข้าช่องคลอด)

      2. ทำให้ถึงจุดสุดยอดง่าย โดยเฉพาะฝ่ายสอดใส่ เพราะหูรูดทวารหนักแข็งแรงกว่ากล้ามเนื้อช่องคลอด แต่ในฝ่ายหญิง เชื่อว่าไม่สามารถถึงจุดสุดยอดจากการร่วมเพศประตูหลัง ยกเว้นมีการกระตุ้นปุ่มกระสัน หรือมีจีสปอต (G spot) ร่วมด้วย (ตามหาจีสปอตกันได้ที่นี่)

     3. ถือเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศไม่ให้เกิดความซ้ำซากจำเจ

 

ข้อเสียของเพศสัมพันธ์ทางประตูหลัง

      1. การบาดเจ็บ เนื่องจากเยื่อบุลำไส้ไม่มีน้ำหล่อลื่นตามธรรมชาติเหมือนช่องคลอด และการมีเพศสัมพันธ์ทางนี้อาจทำให้ริดสีดวงแตก หรือลำไส้ฉีกขาดจนเกิดอันตรายได้ ดังนั้นต้องใช้น้ำยาหรือเจลหล่อลื่นมากเพียงพอ แต่กระนั้นก็มักจะมีการถลอกของผิวลำไส้ทุกรายจากการมีเพศสัมพันธ์ทางประตูหลัง

      2. ติดเชื้อในลำไส้ เนื่องจากลำไส้เป็นที่อยู่ของอุจจาระ ซึ่งมีเชื้อโรคปะปนอยู่หลายชนิด การมีอะไรกันทางด้านหลังจึงเสี่ยงติดเชื้อจากลำไส้ได้ทุกชนิด เช่น เชื้อแบคทีเรีย ไทฟอยด์ ไวรัสตับอักเสบ หรือเชื้อพยาธิลำไส้ เป็นต้น

      3. ติดเชื้อโรคร้ายแรง เยื่อบุลำไส้ไม่แข็งแรง เมื่อถลอก ทำให้ติดเชื้อโรคที่ร้ายแรงได้ง่าย ตัวอย่างเช่น ฝ่ายรับสามารถติดเชื้อเอชไอวีมากกว่าการร่วมเพศทางช่องคลอด 30 เท่า การมีเพศสัมพันธ์ทางประตูหลังจึงควรใช้ถุงยางอนามัยทุกราย

      4. เกิดมะเร็ง เชื้อเอชพีวีติดต่อกันทางการสัมผัสหากไม่สวมถุงยางอนามัย และมีโอกาสเป็นหูดหงอนไก่ มะเร็งทวารหนัก มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งอวัยวะเพศได้จากการติดเชื้อเอชพีวี

      5. เกิดแผลในลำไส้ การติดเชื้อลำไส้ กว่าจะมีอาการแสดงให้เห็น เช่น เจ็บ มีเลือดออก อาจเป็นมากจนเกิดเป็นแผลในลำไส้

      6. หูรูดทวารหนักชำรุด หากเป็นมาก อาจจะมีอุจจาระเล็ดได้

      7. อุ้งเชิงกรานและกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ในผู้หญิงบางคนมีการปนเปื้อนเชื้อโรคตัวร้ายจากทวารหนัก จากการสอดใส่ทั้งทางประตูหลังและช่องคลอด ทำให้ปากมดลูก มดลูก ปีกมดลูก และกระเพาะปัสสาวะเกิดการอักเสบได้

 

การป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากเพศสัมพันธ์ทางประตูหลัง

      1. ไม่มีเพศสัมพันธ์ทางประตูหลัง

      2. ทั้งสองฝ่ายต้องยินยอมพร้อมใจกัน

      3. เมื่อทำรักประตูหลัง ควรสอดใส่เมื่อพร้อม ทำแบบช้าๆ ไม่ควรรุนแรงหรือเร่งรีบ

      4. ควรใช้ถุงยางอนามัยแบบหนาที่ทำด้วยยางพารา ใช้เจลหล่อลื่นสูตรน้ำ หรือเจลหล่อลื่นสำหรับทวารหนักโดยเฉพาะ ซึ่งจะเหนียวและหนืด สามารถสั่งซื้อได้ทางอินเทอร์เน็ต ไม่แนะนำให้ใช้ของในบ้านหรือในครัวมาแปลงเป็นสารหล่อลื่น เช่น ปิโตรเลียมเจล เบบี้ออยล์ หรือน้ำมันทำกับข้าว

      5. หากฝ่ายรับรู้สึกเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ทางประตูหลัง ต้องหยุดทันที เพราะอาจเกิดการบาดเจ็บได้

      6. ระวังอย่าสอดใส่ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ทางปาก เพราะจะปนเปื้อนเชื้อโรค ถ้าจะทำ ให้เปลี่ยนถุงยางอนามัยทุกครั้งที่เปลี่ยนช่องทางสอดใส่

      7. การอาบน้ำร้อนก่อนมีเพศสัมพันธ์ และการนอนคว่ำตอนสอดใส่ร่วมกับการใช้สารหล่อลื่น สามารถบรรเทาการบาดเจ็บได้

      8. ขณะเข้าด้ายเข้าเข็ม หรือหลังมีเพศสัมพันธ์ทางประตูหลัง หากมีเลือดออกจากทวารหนักจำนวนมาก หรือเลือดไหลไม่หยุด ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที

 

ภาพประกอบ: Karin Foxx

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

X
Close Advertising