วันนี้ (22 มีนาคม) คารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสภาพอากาศที่ร้อนจัดในขณะนี้ส่งผลให้ประชาชนและร้านค้าต้องการน้ำแข็งเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้องเร่งผลิตให้ทันต่อความต้องการ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อเหตุการณ์ก๊าซแอมโมเนียรั่วไหลจากสถานประกอบกิจการผลิตน้ำแข็ง และส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่โดยรอบ
กรมอนามัยจึงได้เตรียมมาตรการป้องกันและรับมือเหตุฉุกเฉิน โดยมอบหมายให้ทีมปฏิบัติการอนามัยสิ่งแวดล้อมของศูนย์อนามัย ประสานความร่วมมือกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำกับดูแล และบังคับใช้กฎหมายด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด เพื่อควบคุมและลดความเสี่ยงของก๊าซแอมโมเนียรั่วไหลจากโรงงานผลิตน้ำแข็ง
มาตรการควบคุมและป้องกันก๊าซแอมโมเนียรั่วไหล
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นหน่วยงานที่อนุญาตให้ประกอบกิจการผลิตน้ำแข็ง ได้รับมอบหมายให้แจ้งผู้ประกอบการปฏิบัติตามมาตรการสำคัญดังนี้
- ตรวจสอบระบบการผลิตเป็นประจำ: ตรวจตราเครื่องจักร อุปกรณ์ และระบบผลิตน้ำแข็งให้อยู่ในสภาพดี ไม่มีชำรุดเสียหาย หากพบความผิดปกติต้องเร่งซ่อมแซม พร้อมรายงานผลการตรวจสอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทราบอย่างต่อเนื่อง
- ตรวจสอบระบบก๊าซแอมโมเนีย: ท่อส่งก๊าซ ถังบรรจุ ระบบไฟฟ้า และอุปกรณ์ตรวจวัดแรงดันต้องอยู่ในสภาพดี ไม่มีรอยร้าวหรือรั่วไหล เพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉิน
- ประเมินความปลอดภัย: ตรวจสอบระบบดับเพลิง วันหมดอายุของถังดับเพลิง และระบบแจ้งเตือนภัยให้พร้อมใช้งานเสมอ
- ควบคุมระบบบำบัดน้ำเสีย: ตรวจสอบให้ระบบบำบัดทำงานได้ตามมาตรฐาน พร้อมรองรับภาวะฉุกเฉินจากการรั่วไหลของก๊าซแอมโมเนีย
- จัดทำและซ้อมแผนฉุกเฉิน: โรงงานผลิตน้ำแข็งต้องมีแผนรับมือเหตุฉุกเฉิน ซ้อมอพยพ และระบบแจ้งเตือนภัยทั้งภายในโรงงานและประชาชนโดยรอบ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการผลิตน้ำแข็งมากขึ้น
คารมระบุว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนเป็นอันดับแรก โดยเตรียมทีมปฏิบัติการ พร้อมนำแนวทางจัดการภาวะฉุกเฉินจากสารเคมีไปใช้ในพื้นที่ พร้อมจัดเตรียมอุปกรณ์ตรวจวัดและวัสดุสำหรับการปฏิบัติงานภาคสนาม เพื่อให้สามารถรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
“รัฐบาลมุ่งเน้นให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงจากก๊าซแอมโมเนียรั่วไหล ให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย” คารมกล่าว