สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงทางประชากรครั้งสำคัญ เมื่ออัตราการเกิดของประชากรลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และผู้คนเลือกที่จะมีลูกช้าลงหรือไม่มีเลย
แนวโน้มดังกล่าวได้กลายเป็นประเด็นถกเถียงในสังคมอย่างกว้างขวาง โดยมีต้นตอมาจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจและสังคมที่ทำให้การสร้างครอบครัวที่มีความพร้อมกลายเป็นเรื่องที่ไกลเกินเอื้อมสำหรับคนรุ่นใหม่จำนวนมาก
ข้อมูลจากภาครัฐชี้ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน อายุเฉลี่ยของผู้หญิงที่คลอดลูกคนแรกเพิ่มขึ้นจาก 27 ปีในปี 2000 เป็นเกือบ 30 ปีในปัจจุบัน ที่น่าสนใจคือ ในยุค 1990s สังคมอเมริกันเคยรณรงค์ลดอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดยแนะนำให้รอจนมีความพร้อมทางการเงินและคู่ชีวิตที่มั่นคง แต่ปัจจุบันมาตรฐานความพร้อมที่เคยแนะนำกลับสูงเกินเอื้อมสำหรับคนรุ่นใหม่
คาเรน เบนจามิน กุซโซ ผู้อำนวยการศูนย์ประชากรศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา ชี้ว่ามาตรฐานดังกล่าวกลายเป็นเหมือน ‘กับดัก’ ทางเศรษฐกิจสำหรับคนรุ่นใหม่ “เราบอกให้พวกเขารอจนกว่าจะมีเงินและคู่ชีวิตที่พร้อมจะดูแลครอบครัวได้” แต่ในยุคที่ค่าครองชีพทั้งค่าบ้าน ค่าเล่าเรียน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าดูแลเด็ก พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง การไปถึงจุดนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่ง
ภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรได้กลายเป็นกำแพงขนาดใหญ่ สถาบัน Brookings Institution ประเมินไว้ว่าค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูกหนึ่งคนจนถึงอายุ 17 ปีนั้นสูงกว่า 3 แสนดอลลาร์ (ประมาณ 9.7 ล้านบาท) โดยยังไม่รวมค่าเล่าเรียนมหาวิทยาลัย
นอกจากนี้ ในหลายพื้นที่ของสหรัฐฯ รวมถึงโอไฮโอ ค่าใช้จ่ายในการส่งลูกเข้าสถานรับเลี้ยงเด็กเต็มเวลานั้นสูงกว่าค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐเสียอีก ทำให้หลายครอบครัวพบว่าการให้พ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่งลาออกมาเลี้ยงลูกอาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่า
แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่เลือกเดินสวนกระแส เช่น บริตทานี และ ไมเคิล ไอวี คู่สามีภรรยาที่ตัดสินใจสร้างครอบครัวใหญ่แม้จะมีเงินเก็บในบัญชีไม่ถึง 1 พันดอลลาร์ (ประมาณ 32,380 บาท) หลังจ่ายค่างานแต่งงาน ตอนมีลูกคนแรกในปี 2012 บริตทานีอายุเพียง 20 ปี ขณะที่ไมเคิลอายุ 34 ปี ปัจจุบันพวกเขามีลูก 5 คน อายุระหว่าง 3-12 ปี
เรื่องราวชีวิตของครอบครัวไอวีสะท้อนความท้าทายที่แท้จริง แม้ในช่วงแรกบริตทานีจะสามารถทำงานที่ Home Depot ควบคู่ไปกับการเลี้ยงลูกสองคนแรกได้ โดยได้เลื่อนตำแหน่งและทำยอดขายได้เกือบ 7.5 แสนดอลลาร์ (ประมาณ 24 ล้านบาท)ในหนึ่งปี
แต่เมื่อเธอให้กำเนิดลูกแฝดที่คลอดก่อนกำหนดกว่า 2 เดือนครึ่งและต้องอยู่ใน NICU นานหลายเดือน เธอตัดสินใจลาออกจากงานเพราะเมื่อคำนวณดูแล้ว เงินเดือนทั้งหมดจะถูกค่าดูแลเด็กกลืนไปจนหมดสิ้น
พายุถาโถมเข้ามาอีกเมื่อไมเคิล ผู้เป็นเสาหลักของบ้าน ต้องออกจากงานก่อสร้างที่มีรายได้ดีเพราะปัญหาสุขภาพที่หลังจากการทำงานหนักมานาน ครอบครัวต้องขายรถบรรทุกเพื่อจ่ายค่า MRI ราคา 750 ดอลลาร์ (ประมาณ 24,285 บาท) ก่อนที่ Medicaid จะอนุมัติค่าผ่าตัด
ปัจจุบันไมเคิลทำงานดูแลอาคารให้โรงเรียนท้องถิ่น รายได้ประมาณ 4.1 หมื่นดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 1.33 ล้านบาท) พร้อมรายได้จากการให้เช่าบ้านอีก 4,200 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 1.36 แสนบาท)
ทุกวันนี้ครอบครัว 7 คนยังคงอาศัยอยู่ในบ้านสองห้องนอนหลังเดิม ซื้อเสื้อผ้าจากร้านมือสอง และใช้ชีวิตอย่างประหยัดที่สุด แต่บริตทานียืนยันว่าเธอไม่เคยเสียใจ “ฉันได้อยู่กับลูกๆ ทุกช่วงเวลาของวัยเด็ก ได้เห็นพวกเขาเติบโตทุกวัน สำหรับฉันไม่มีอะไรมีค่ากว่านี้แล้ว”
อย่างไรก็ตาม เธอเข้าใจดีว่าทำไมคนอื่นถึงเลือกที่จะไม่มีลูก “ฉันไม่โทษใครเลยที่เลือกจะไม่มีลูก เพราะว่ามันยากจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” เธอกล่าว พร้อมวางแผนจะกลับไปทำงานในปี 2028 เมื่อลูกคนเล็กสุดเข้าเรียนเกรด 1
หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.38 บาท ณ วันที่ 22 สิงหาคม 2568
ภาพ: fizkes / Shutterstock
อ้างอิง: