ดีไซน์ใหม่! ฟีลใหม่! Amazon ยกเครื่องแอปสตรีมมิงของตนอย่าง ‘Prime Video’

บริษัทอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Amazon กำลังแนะนำแอปสตรีมมิงที่ได้รับการปรับโฉมใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้าของตน เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยและมอบประสบการณ์ที่ ‘ยุ่งเหยิงน้อยลง’ สำหรับผู้บริโภค โดยได้ย้ายแถบนำทางไปไว้ด้านซ้าย และเปลี่ยนเป็นแนวตั้งเพื่อความสะดวกของผู้บริโภค แม้จะคล้ายกับยักษ์ใหญ่ในตลาดอย่าง Netflix ก็ตาม

การออกแบบใหม่นี้มีระยะเวลาโครงการทั้งสิ้น 1 ปี 6 เดือน และในขณะที่ใกล้ถึงจุดหมาย ประสบการณ์ใหม่ๆ เหล่านี้ได้ถูกส่งต่อและดูแลโดย เบน สมิธ รองประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์คนใหม่ของ Amazon สำหรับ Prime Video และ Prime Studios ซึ่งเคยเป็นผู้นำในการออกแบบใหม่สำหรับแอปสตรีมมิงชื่อดังอย่าง Hulu ในปี 2017 ที่ Hulu พยายามเข็นหน้าแอปแบบใหม่ออกมามากเกินไป ซึ่งแน่นอนว่าลูกค้าแสดงความไม่พอใจอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทต้องกลับลำไปใช้หน้าแอปที่คุ้นเคยซึ่งกินเวลาหลายเดือน

โดยในหน้าแรกจะมีรายการยอดนิยม 10 อันดับแรก เพื่อให้ง่ายสำหรับผู้บริโภคในการดูว่าอะไรกำลังเป็นที่นิยม และรูปแบบใหม่นี้จะช่วยให้ผู้บริโภครู้ว่าความบันเทิงใดมาพร้อมกับการสมัครรับบริการ Prime โดยจะมี ‘เครื่องหมายติ๊กถูกสีฟ้า’ อยู่ในคำอธิบาย ในขณะที่รายการที่ต้องซื้อหรือเช่าจะเป็น ‘เครื่องหมายถุงสีทอง’

เมนูส่วนใหญ่มีหมวดหมู่ย่อยเพื่อให้การท่องแอปนั้นง่ายขึ้น เช่น หน้าแรกจะมีหมวดหมู่ย่อยสำหรับภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ และรายการกีฬา

และเมื่อเปรียบเทียบแล้ว การออกแบบใหม่ของ Prime Video นั้นมีความรอบคอบ ถูกคำนวณและกล้าหาญน้อยกว่าคู่แข่งอย่าง Netflix, HBO Max และ Disney+ มาก โดย Amazon ได้ทดสอบและวิจัยผู้ใช้อย่างกว้างขวาง และพบว่าผู้คน ‘เปลี่ยนแปลง’ อย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไรเมื่อคำนึงถึงความคล้ายกันของทุกแอปสตรีมมิง

แต่ยังมีเรื่องกวนใจหลงเหลืออยู่คือ ตัวแอปยังกำกับซีซันแปลกๆ เช่น Episode 0: Trailer หรือบางครั้งก็มีภาพยนตร์เรื่องเดียวกันแต่แยก 4K กับ HD ซึ่งปัญหาเหล่านี้เป็นผลมาจากการที่บริษัทยังขายภาพยนตร์เหล่านั้นอยู่ ขณะที่คู่แข่งแค่สตรีมภาพยนตร์เหล่านั้น

การออกแบบใหม่จะมาเยือน iOS และเว็บไซต์ของ Prime Video ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ไม่ใช่อุปกรณ์ทั้งหมดจะสามารถใช้ฟีเจอร์ใหม่ทั้งหลายได้ เช่น PlayStation 3 และ Apple TV รุ่นที่ 3 จะไม่ได้รับการอัปเดต แต่ยังคงใช้ Prime Video ได้อยู่

อ้างอิง:

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH