×

อุ๋ย บุดด้าเบลส กับ ‘ความจริง’ ในยุคที่ทุกคนคิดว่าตัวเองเป็นกาลิเลโอ [Advertorial]

04.10.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 Mins. read
  • สมัยเด็กๆ อุ๋ยโกหกเรื่องทำการบ้านอยู่เป็นประจำ และคิดว่าการโกหกเรื่องยาเสพติดเป็นการโกหกที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิต
  • อุ๋ยเชื่ออย่างที่พระพุทธเจ้าสอนว่า การพูดที่ดีจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 อย่างคือ พูดความจริง เป็นประโยชน์ ถูกใจคนฟัง และถูกกาลเทศะ
  • อุ๋ยเชื่อว่าทุกคนคิดว่าตัวเองกำลังพูดความจริง แต่เป็นความจริงในฝั่งที่ตัวเองเลือกเชื่อเท่านั้น แต่เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงแท้นั้นเอง
  • สุดท้ายอุ๋ยยังคงเชื่อว่าการโฆษณาแบบหลอกล่อคนดูจะยังทำเงินได้มากกว่าการโฆษณาแบบตรงไปตรงมา แต่ความจริงใจก็จะนำมาซึ่งความน่าเชื่อถือที่ถือว่าคุ้มที่ได้แลกมา

 

 

     อุ๋ย-นที เอกวิจิตร ศิลปินฮิปฮอปที่ช่วงหลังมีภาพลักษณ์ในการแสดงความคิดเห็นอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ ‘อลิอันซ์ อยุธยา’ เลือกเขาเข้ามาเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณา ประกันสุขภาพปลดล็อค เอ็กซ์ตร้า ที่บอกข้อมูลทุกอย่างไว้อย่างครบถ้วนตั้งแต่ต้นจนจบ

     เพื่อเป็นการย้ำถึงความ ‘จริงใจ’ ที่เกิดขึ้น วันนี้เราชวนอุ๋ยมาเปิดอกพูดคุยกันในหลายๆ มิติของ ‘การโกหก’ ย้อนไปตั้งแต่วัยเด็ก จนผ่านความคิด ประสบการณ์ รวมทั้งคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่ค่อยๆ หล่อหลอมให้เป็นตัวเขาอย่างในทุกวันนี้

     ตลอดเวลา 1 ชั่วโมงที่นั่งคุยกัน นอกจากคำตอบ ‘ตรงไปตรงมา’ จนเราตกใจ เรายังได้คำตอบเพิ่มอีกอย่างหนึ่งว่า เพราะความ ‘จริงใจ’ แบบสุดๆ นี่ล่ะที่ทำให้เขาเหมาะสมกับโฆษณาตัวนี้ที่สุดแล้วจริงๆ

 

 

ย้อนไปตอนเป็นเด็ก เด็กชายนทีสนิทสนมกับการโกหกมากขนาดไหน

     สมัยประถมผมชอบโกหกอาม่าหรือคนที่บ้านเรื่องการบ้าน ผมอยากออกไปเล่น แต่การบ้านยังไม่เสร็จ ก็จะบอกว่าเสร็จแล้ว ซึ่งสุดท้ายเขาเช็กได้ แล้วผมก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงด้วยการตีอย่างหนักอยู่เสมอ แต่ก็ไม่เคยทำให้ผมทำการบ้านได้เลย (หัวเราะ) อันนี้คือในแง่ที่ผมเป็นคนโกหกนะ แต่ถ้าเรื่องที่ผมเป็นคนโดนโกหกนี่มีมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เดี๋ยวตุ๊กแกมากินตับ เดี๋ยวคนโน้นคนนี้มาจับตัวไป มันคือการโกหกของผู้ใหญ่ บางทีเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจโกหกเรา แต่เขาเองโดนโกหกมาอีกทีเหมือนกัน อย่างเรื่องแม่ผมพาไปหาคนทรงเจ้าแล้วบอกว่าให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ เขารู้ทุกอย่าง ห้ามลบหลู่นะ นี่คือการโกหกที่ใหญ่มากสำหรับผมนะ มันเปลี่ยนความคิดเราไปเป็นสิบปีเลย จนอายุ 14-15 ค่อยเริ่มมาตั้งคำถามกับเรื่องแบบนี้

 

ความคิดเรื่องการโกหกของคุณเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนตั้งแต่เมื่อไร

     ผมอาจจะเห็นว่าการทำการบ้านเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ผมไม่เคยเห็นว่าการโกหกเป็นเรื่องไร้สาระนะครับ จนทุกวันนี้เวลาคิดไปถึงตอนโกหกในสมัยเด็กก็ยังละอายใจอยู่ทุกครั้ง แล้วยิ่งเราบอกว่าการทำการบ้านไร้สาระ ถ้าคิดว่าไร้สาระแล้วมึงจะโกหกไปทำไม มันมีความทุเรศตัวเองตรงนี้อยู่

     จนผมเริ่มเข้าหาศาสนามากขึ้นแล้วพูดโกหกน้อยลง แต่ไม่ใช่ผมกลัวบาปนะ แต่รู้สึกว่าเป็นเรื่องของความแมน การยอมรับความจริงมากกว่า ถ้าเราตั้งใจว่าจะกล้าเผชิญกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่ดันไม่กล้าเผชิญความจริง อ้าว สรุปแล้วมึงเป็นคนยังไงกันแน่

 

จำได้ไหมว่าโกหกครั้งสุดท้ายเมื่อไร และเรื่องอะไรที่ทำให้คุณต้องโกหก

     เมื่ออาทิตย์ก่อนนี่ล่ะครับ (หัวเราะ) ผมอยู่ต่างประเทศ กำหนดวันไว้ว่าจะกลับมาก่อน แต่สุดท้ายผมเลื่อนตั๋วเครื่องบินออกไป แล้วลืมว่าในช่วงที่เลื่อนออกไปผมรับงานไว้ กว่าผมจะรู้ตัวว่ามีงานนั้นมันก็ใกล้วันงานมากแล้ว ผมเลยไลน์ไปบอกเขาว่าผมมีปัญหาเรื่องตั๋วเครื่องบิน ให้หาคนมาทำงานแทนผมแล้วกันนะครับ ซึ่งจริงๆ ถ้าผมจะเลื่อนตั๋วเครื่องบินอีกรอบก็ทำได้ แต่ผมไม่อยากเสียเงินอีก เลยโกหกทีมงานไปแบบนั้น ซึ่งคนจ้างงานผมยังไม่รู้ความจริงเรื่องนี้ แต่ตอนนี้คงรู้แล้ว ก็ถือโอกาสสารภาพบาปตรงนี้ไปเลยแล้วกันครับ

 

 

เรื่องที่ถือว่าเป็นการโกหกที่ผิดพลาดและรุนแรงที่สุดในชีวิตของคุณ

     ผมโกหกที่บ้านเรื่องยาเสพติด พ่อได้กลิ่นกัญชาก็บอกว่าไม่ได้สูบ เห็นซองบุหรี่ก็บอกว่าของเพื่อน พอมาย้อนดู ถ้าผมมีลูกแล้วลูกไม่มาพูดกับตรงๆ ก็คงเป็นเรื่องใหญ่นะ ผมยังเชื่อในการเดินผ่านประสบการณ์ทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่อยู่ในการควบคุมของผู้ใหญ่ แล้วทุกวันนี้ผมมีทั้งเพื่อนที่อยู่ในคุกและเสียชีวิตไปแล้วเพราะยาเสพติดหลายคน ชีวิตพังพินาศ ผมโชคดีนะที่มีเหตุการณ์บางอย่างในชีวิตทำให้เลี้ยวออกมาจากตรงนั้นได้ แต่ถ้าออกมาไม่ได้ ชีวิตผมจะเป็นยังไงก็ยังไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นอันนี้คือเรื่องใหญ่มากที่ผมโกหกพ่อแม่ในวันนั้น

     มันอาจจะยากนะที่จะมีพ่อแม่เปิดรับเรื่องพวกนี้ได้ทั้งหมด แต่ผมมีเพื่อนที่พ่อแม่ยอมรับแล้วแก้ปัญหานี้ได้ดีเลยล่ะ เพื่อนผมติดเฮโรอีนแบบฉีดเข้าเส้น วันหนึ่งเขาตัดสินใจบอกว่าเขาติดยาเสพติด พาเขาไปเลิกที ถามว่าพ่อแม่เขาช็อกไหม เสียใจไหม แน่นอนอยู่แล้ว แต่แอ็กชันที่เขาแสดงกลับมามันคนละแบบกับที่ลูกคาดหวังว่าจะเจอ เขาพาไปรักษาและดูแลอย่างดีจนผ่านช่วงนั้นมาได้ ผมเชื่อว่าถ้ายังกลัว ยังหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้า ไม่ยอมบอกพ่อแม่ ผมว่าเรื่องไม่น่าจะจบแบบนี้ น่าจะเป็นแบบเพื่อนอีกคนที่ตายคาเข็ม ทั้งๆ ที่อยู่กลุ่มเดียวกัน คนหนึ่งเลือกที่จะโกหก อีกคนเลือกที่จะบอกความจริง มันต่างกันเยอะเลย

 

การที่มีตัวตนชัดเจนมาตั้งแต่แรกทำให้มีปัญหาอะไรในการนำเสนอเนื้อหาต่อสังคมที่อาจจะทำให้คุณพูดเรื่องบางอย่างได้ไม่เต็มที่บ้างไหม

     ผมไม่มีปัญหาเรื่องเนื้อหาเลย เพราะผมคิดว่าสามารถพูดทุกอย่างที่ผมคิดออกมาได้ผ่านบทเพลง แต่ช่วงแรกๆ จะมีปัญหาเรื่องการใช้คำหยาบ เพราะผมเริ่มจากการทำเพลงใต้ดินที่หยาบคายมากมาก่อน แต่พอขึ้นมาบนดิน ซึ่งเป็นความสมัครใจของผมเอง และผมต้องยอมรับในกติกาของสังคมว่าผมจะไม่สามารถแรปหยาบๆ แบบเดิมได้ ก่อนหน้านั้นผมบอกเลยว่าถ้าให้พูดสุภาพจะรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเอง ผมไม่ทำ มันดูติ๋ม ดูตอแหลจังเลย จั๊กจี้ฉิบหาย

     พอทำเพลงบนดินไปเสนอพี่โจ้ (โจอี้ บอย-อภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต) ยังไงก็ไม่ผ่าน วันหนึ่งพี่โจ้ตั้งแก้วน้ำบนโต๊ะ บอกว่าอยากกินน้ำแก้วนี้ แต่มีหลายวิธีที่จะบอก เช่น หิวน้ำจังเลย เพื่อคนอื่นจะได้ถามว่าพี่กินน้ำไหมครับ หรือจะบอกว่า หิวน้ำว่ะสัตว์ เอาน้ำมาให้กูซิ ความหมายเหมือนกันเลย คือคุณต้องการน้ำ แต่ศิลปะในการใช้ภาษามันมีตั้งหลายแบบ ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องหยาบคายหรือก้าวร้าวขนาดนั้น แล้วพอมาคิดดู โจอี้ บอยเขาดูติ๋มเหรอวะ ก็ไม่นี่ เขาไม่หยาบคาย แต่ก็ไม่เห็นจะติ๋มตรงไหนเลย แล้วเขาก็สะท้อนความจริงของสังคมได้ตั้งหลายเพลง เพราะฉะนั้นมันเป็นเพราะเราเองนี่หว่าที่ไม่มีศิลปะในการใช้ภาษาแบบเขา ต้องหาบาลานซ์อยู่เป็นปีเลย

     ซึ่งอันนั้นผมไม่เรียกว่าการโกหกนะ มันคือการหาจุดร่วมกับคนในสังคม อย่างเวลาผมไปสมัครงาน ผมก็ต้องพูดจาสุภาพ อันนั้นก็ไม่ได้โกหก ผมไม่ได้ไปบอกว่ากูอยากทำงานที่นี่ มึงเอางานมาให้กูหน่อย มันพูดแบบนั้นไม่ได้ คือเรายังพูดคำหยาบกันอยู่แหละ น้อยมากที่ผมจะเจอคนไม่พูดคำหยาบในชีวิตประจำวัน แต่มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และสถานที่ที่เราจะหยาบคายด้วย

 

 

การที่เราพูดคำหยาบไม่ได้ แสดงว่ากติกาของสังคมกำลังโกหกเราอยู่หรือเปล่า

     ผมว่าไม่รุนแรงถึงขนาดเรียกว่าโกหก เป็นเรื่องของกาลเทศะมากกว่า ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยจนรู้คำสอนของพระพุทธเจ้าว่า อะไรที่เป็นความจริง ถูกใจคนฟัง มีประโยชน์กับคนฟัง แต่ถ้าผิดกาลเทศะ ท่านก็จะไม่พูด ซึ่งตั้งแต่เด็กจนโตมา ผมใช้อย่างเดียวคือ ถ้าเป็นความจริง กูจะพูด ไม่ถูกใจคนฟัง ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เกี่ยวกับกาลเทศะ แต่มันเป็นความจริง กูจะพูด ไม่ฟังเหรอ โถ ไอ้ทุเรศ รับความจริงไม่ได้ ผมคิดได้อยู่แค่นี้เลย

     แล้วตอนนั้นใครไม่ฟังผม ไม่เชื่อผม ผมก็จะไปสู้กับเขา เถียงกับเขาจนกว่าจะยอมด้วยความก้าวร้าวหยาบคาย ถ้าไม่ยอม ผมไม่หยุด (หัวเราะ) ทำไมล่ะ เจตนากูดี กูไม่ได้เป็นแบบที่มึงบอก กูไม่ยอมมึงหรอก แต่ศาสนาสอนให้ผมลดตัวตน กลายเป็นรู้สึกว่ายิ่งยอมได้มากเท่าไร แปลว่าผมใกล้ทางของการพ้นทุกข์ได้มากเท่านั้น ตอนนี้ก็จะกลายเป็นยอมบอกว่า ‘ขอโทษครับ’ แต่เรายังพูดความจริงทุกอย่างเหมือนเดิม เพียงแต่ระมัดระวังในการหาข้อมูลให้มากขึ้น อธิบายในมุมของเราให้เรียบร้อย ให้ดีที่สุด แล้วสุดท้ายคนอื่นจะตีความอย่างไร นั่นเป็นเรื่องของเขาแล้ว

 

แต่การยอมก็จะทำให้คนเหล่านั้นเข้าใจเจตนาของคุณผิดไปเลยหรือเปล่า

     ผมจะมีลิมิตของผมครับ ไม่ใช่ว่าไม่อธิบายเลย แต่พอถึงจุดหนึ่งเขาไม่รับฟังเราก็ขอโทษเขาไป ถ้าเขาไม่รับคำขอโทษอีกก็ต้อง ‘ช่างแม่ง’ ไปครับ เพราะรู้สึกว่าเหมือนไปยืนพูดกับต้นไม้ ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ยิ่งสวนกลับไปเท่าไร ยิ่งใช้คำพูดรุนแรงเท่าไร มันมีแต่ยิ่งเสียเวลา

 

ตอนนี้เริ่มหาจุดที่คิดว่าถูกกาลเทศะ เหมาะแก่การพูดความจริงได้มากขนาดไหนแล้ว

     ผมมองที่ประโยชน์นะ ถ้าเกิดประโยชน์กับทุกฝ่ายได้ อันนั้นเรียกว่าถูกกาลเทศะจริงๆ แต่มันเป็นไปได้ยากที่จะให้ทุกคนแฮปปี้หมด แม้กระทั่งสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าพูดความจริงอะไรบางอย่างไปก็มีหลายลัทธิที่เดือดร้อน รับไม่ได้ แต่ก็มีอีกหลายคนที่เกิดประโยชน์มากๆ กับเขา เพราะฉะนั้นมันต้องมีคนไม่ถูกใจหรือเสียประโยชน์บ้าง แต่ว่ามากหรือน้อยกว่ากันเท่านั้นเอง

     ผมเปรียบสมัยกาลิเลโอที่บอกความจริงว่าโลกกลม แล้วศาสนจักรรับไม่ได้จึงจับไปลงโทษ ผมว่ายุคนี้หลายๆ คนคิดว่าตัวเองเป็นกาลิเลโอ ทั้งเรื่องการเมือง ศาสนาหรืออะไรก็ตาม กูจะอยู่ในฝ่ายที่พูดความจริง ทุกฝ่ายคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่พูดความจริงทั้งหมด ซึ่งก็ไม่ผิดในมุมของเขา แต่ต้องเข้าใจและยอมรับว่าความจริงที่พูดออกมานั้นมันไม่ได้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย และบางครั้งความจริงอันนั้นก็จะนำมาซึ่งผลร้ายกับเราได้เหมือนกัน ทุกคนเป็นกาลิเลโอเหมือนกันหมด สุดท้ายเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง

 

 

เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการพูดความจริงขนาดนี้ รู้สึกอย่างไรบ้างเวลาเห็นโฆษณาต่างๆ ที่พยายามหลอกขายสินค้าให้เรา

     คำถามนี้ควรเริ่มตั้งแต่แรกเลยนะ เพราะเดี๋ยวคนจะหาว่าเรามาหลอกขายของเขาอีก (หัวเราะ)

 

อันนี้เดี๋ยวเราจะบอกไว้ตั้งแต่ชื่อบทความเลยว่าเป็นโฆษณา

     (หัวเราะ) โอเค แบบนั้นดีเลยครับ เรื่องโฆษณาต่างๆ ผมไม่ได้ซีเรียสอะไรนะ ผมสนุกที่ได้เห็นพัฒนาของการขายของไปเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ เพราะการทำงานกับมนุษย์เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มาก ผมเคยเป็นเซลล์ขายรถแล้วมีปัญหามาก เพราะผมมีนิสัยแบบนี้ ไม่ชอบพูดอะไรอ้อมค้อม เครียดมาก ไม่รู้จะทำยังไงให้ขายรถได้ ในแต่ละเดือนเขาจะมีโควต้ามาให้ว่ารถหนึ่งคัน เซลล์สามารถลดให้ลูกค้าได้เท่าไร ถ้าลดไม่หมด คุณจะได้ส่วนแบ่งที่เหลือ 40% ตรงนี้เป็นรายได้หลักของเซลล์

     เวลาขายผมเลยใช้วิธีบอกเขาไปหมดเลยตั้งแต่ต้น (หัวเราะ) พี่สนใจรถคันนี้ใช่ไหมครับ ผมลดให้พี่ได้เต็มๆ เลย 15,000 บาท ผมได้ค่าคอมฯ 1,000 บาทแค่นั้นเลยครับ เอาปืนมาจ่อหัวผมก็ลดให้ได้แค่นี้จริงๆ คิดว่ายังไงเขาก็ต้องเอา เพราะเราพูดความจริง และทุกโชว์รูมลดสูงสุดได้แค่นี้ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่เลย มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประหลาดมาก หัวหน้ามาบอกผมว่า มึงนี่ช่างไร้เดียงสาจริงๆ

     เขาเล่าให้ฟังว่ามีเซลล์คนหนึ่งขายเบาะหนังให้ลูกค้าราคา 30,000 บาท แล้วมีเซลล์จากโชว์รูมเดียวกันขายให้ลูกค้าในราคาทุน 10,000 บาท สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ลูกค้าที่ซื้อเบาะไปในราคา 10,000 บาทกลับมาด่าเซลล์คนที่ขายราคาทุน บอกว่าเอาเบาะหนังห่วยๆ มาขายเขาใช่ไหม เฮ้ย มันมีคนอย่างนั้นจริงๆ แล้วตอนนั้นมันสร้างความไม่พอใจให้ผมเยอะเหมือนกันว่า ทำไมวะ พูดความจริงขนาดนี้แล้วคุณยังไม่เชื่อใจเราอีกเหรอ แต่ผมลืมคิดไปว่าลูกค้าเขาไม่ได้เชื่อเซลล์แบบเราตั้งแต่แรกแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เหลือมันคือศิลปะในการขาย ศิลปะในการเจรจาต่อรอง ไม่ต้องพูดตรงๆ ว่าลดได้ 15,000 บาท แต่ค่อยๆ ต่อรองกันไปทีละนิด สุดท้ายลดให้ 15,000 บาทอยู่ดี แล้วจะเสียเวลากันไปทำไม เอาเวลาไปทำอย่างอื่นไม่ดีกว่าเหรอ (หัวเราะ) แต่ก็ต้องยอมรับ เพราะว่านี่คือศิลปะของการขายอย่างหนึ่ง

     เพราะฉะนั้นการโฆษณาหรือไวรัลมาร์เก็ตติ้งก็เหมือนกัน มันมีส่วนหนึ่งของการพัฒนาการขายไปเรื่อยๆ พอคนเริ่มรู้ทันก็ต้องหาวิธีหลอกล่อไปเรื่อยๆ อย่างพวกขายครีม ขายยาลดความอ้วน หรืองานในอินเทอร์เน็ต เมื่อก่อนอาจจะโชว์เงิน พอคนเริ่มรู้ทันเขาก็เปลี่ยนวิธีการไปโชว์ไลฟ์สไตล์ มีบทสัมภาษณ์ให้คนอยากรู้ พวกนี้ทุกอย่างมีพื้นฐานเหมือนกันหมดเลยคือต้องการขายของ และที่สำคัญคือต้องพัฒนาให้แนบเนียนขึ้นเรื่อยๆ เพราะถ้าคนดูรู้ทันเมื่อไร ความสนใจในสินค้านั้นๆ จะหมดไปทันที

 

เวลารับงานโฆษณาต่างๆ คุณต้องคิดอะไรมากขนาดไหน เพราะไม่ค่อยได้เห็นคุณในงานโฆษณาเท่าไร

     ก็ต้องระวังตัวประมาณหนึ่งครับ เพราะพูดตรงๆ คือผมสร้างโจทย์ไว้เยอะ (หัวเราะ) จะพูดอะไรก็ต้องระวังไม่ให้ผิดกับสิ่งที่ตัวเองเคยพูดเอาไว้ อย่างตอนที่อลิอันซ์ อยุธยา ติดต่อเข้ามา พอรู้ว่าเป็นโฆษณาประกัน ผมต้องรีบบอกผู้จัดการว่าขอดูกรมธรรม์ก่อนว่าเป็นยังไง กลัวเหมือนกันว่าจะโดนลูกค้าด่า หาว่าผมเยอะเกินไปหรือเปล่า แต่พอเป็นคำว่าประกัน มันมีความรู้สึกว่าควรจะต้องดูก่อนว่าสิ่งที่ผมต้องพูดคืออะไร จนมารู้รายละเอียดจากพี่ต้อม (เป็นเอก รัตนเรือง -ผู้กำกับโฆษณา) พูดตรงๆ ว่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง ภาคภูมิใจ ผมอยากเจอหน้าลูกค้ามากเลยนะ กล้าดี ผมชอบ อันนี้พูดจริงๆ ไม่ได้เลีย ไม่ได้อวยเลยนะ เพราะอวยไปเขาก็คงไม่ได้จ้างผมต่ออยู่แล้วล่ะ ไม่รู้เหมือนกันนะ เขาอาจจะเป็นเหมือนผมตอนเป็นเซลล์ขายรถที่ไปบอกลูกค้าว่าลดราคาจริงๆ ได้เท่านั้นตอนนั้นก็ได้ (หัวเราะ)

 

 

ปกติซื้อประกันอยู่แล้วหรือเปล่า

     ซื้อครับ เพราะผมเสียภาษีเยอะ แล้วมันเอาไปหักภาษีได้ (หัวเราะ) มันเหมือนคำพูดที่เขาแซวกันมานานแล้วจริงๆ นะครับ ที่บอกว่าเรื่องโกหกที่เราถูกหลอกมาตลอดคือเรื่องที่บอกว่าเงินภาษีจะถูกเอาไปใช้พัฒนาประเทศ โอเค มันเป็นความจริงนะครับ แต่จริงแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งไม่ใช่ มันหายไปไหนก็ไม่รู้

 

บรรยากาศในวันถ่ายทำโฆษณาประกันสุขภาพปลดล็อค เอ็กซ์ตร้า เป็นอย่างไรบ้าง

     พี่ต้อมบอกก่อนว่าเลยอย่าตกใจกับจำนวนเทกนะ เขาทำงานแบบนี้ ทำไปเรื่อยๆ เขาชอบความผิดพลาดที่เกิดจากธรรมชาติ เขาบอกว่าเหมือนของที่พระเจ้าให้มา บางทีคนเป็นนักแสดงมาเห็นตัวเลขที่เขาเทกอาจจะตกใจ คิดว่าเล่นไม่ดี หรือทำให้คนอื่นเดือดร้อน ผมก็ครับๆๆ เวลาถ่ายเขาถ่ายลองเทก ซึ่งสิ่งที่ผมต้องพูดมีเยอะมาก แล้วรายละเอียดของกรมธรรม์ทั้งหมดจะพูดผิดไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ต้องละเอียดถูกต้องทุกอย่าง เพราะฉะนั้นก็จะมีความเกร็งเกิดขึ้นอยู่ตลอด สรุปก็อย่างที่พี่ต้อมบอกครับ โดนไป 20-30 เทกอยู่เหมือนกัน (หัวเราะ)

     เป็นการทำงานที่เหนื่อย แต่สบายใจมากนะครับ ตอนแรกที่ติดต่อมาว่าเป็นโฆษณาประกัน พูดตรงๆ ผมหนักใจเลยนะ แต่พอรู้ว่าต้องพูดอะไร ผมแม่งโคตรสบายใจเลย ภูมิใจด้วยซ้ำที่ได้พูดในโฆษณานี้

 

พอผ่านโฆษณาตัวนี้ไป การขายประกันแบบพูดความจริงทุกอย่างมันกลับไปทำให้ความคิดของคุณตอนเป็นเซลล์ที่คิดว่าเราไม่สามารถพูดตรงๆ ในการขายสินค้าได้เปลี่ยนไปบ้างไหม

     พูดไปลูกค้าจะด่าผมไหม (หัวเราะ) ผมยังเชื่อว่าการขายของด้วยคลิปที่หลอกล่อจะยังได้เงินมากกว่าการที่พูดตรงๆ ผมไม่รู้ว่าเขารู้หรือเปล่านะ หรือเขาเชื่อหรือเปล่าว่าการทำแบบนี้อาจจะได้เงิน หรือยอดขายกลับมาน้อย พูดง่ายๆ ว่าถ้าเขาทำมาหากิน คิดในแง่บริษัทที่เอากำไรสูงสุดเป็นที่ตั้ง ผมว่าแคมเปญนี้อาจไม่ได้ตอบโจทย์เสียทีเดียว อันนี้เป็นความเชื่อส่วนตัวของผมนะครับ อาจจะเป็นอีกแบบก็ได้ แต่ถ้าเขาไม่ได้มองจุดนั้นเป็นหลักอย่างเดียว ผมว่าเขาจะได้อย่างอื่นที่มีค่ากลับมามากกว่าตัวเงินอีกหลายอย่าง เอาง่ายๆ แค่ความน่าเชื่อถืออย่างเดียวผมก็คิดว่าคุ้มแล้ว

 

     หลังอ่านบทสัมภาษณ์ที่จริงใจที่สุดกันไปแล้วและสนใจอยากศึกษารายละเอียดข้อมูล ‘ประกัน’ ที่จริงใจที่สุดอย่างที่พรีเซนเตอร์ที่จริงใจที่สุดอย่างอุ๋ยพูดถึง ลองเข้าไปศึกษาด้วยตัวเองได้ที่นี่ หรือเพจเฟซบุ๊กอลิอันซ์ อยุธยา

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X