ผลกระทบจากวิกฤตฝุ่นพิษ PM2.5 ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่เปิดปี 2563 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ความนิยมของสินค้าในกลุ่มสุขภาพ โดยเฉพาะ ‘เครื่องฟอกอากาศ’ และ ‘หน้ากากกันฝุ่น’ กลายเป็นสินค้าขายดี จนภาพรวมตลาดสินค้าทั้งสองชนิดนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันของเดือนธันวาคม 2562 และเดือนมกราคมนี้
จักรกฤษณ์ กีรติโชคชัยกุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส บริหารสินค้า เพาเวอร์ มอลล์ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ให้ข้อมูลกับ THE STANDARD ว่าตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ตลาดสินค้าในกลุ่มเครื่องฟอกอากาศมีอัตราการเติบโตเกือบ 200%
และเมื่อตลาดมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แบรนด์ต่างๆ จึงเข้ามาทำการตลาดเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้กลไกการตลาดโตแบบก้าวกระโดด จนเครื่องฟอกอากาศภายในรถยนต์กลายเป็นสินค้าอีกหนึ่งประเภทที่พลอยได้รับอานิสงส์ความนิยมตามไปด้วย
ไม่เพียงแต่สโตร์ออฟไลน์เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบเชิงบวกจากวิกฤตฝุ่นพิษ เพราะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยก็สามารถทำยอดขายของสินค้าทั้งสองชนิดได้ดีไม่แพ้กัน
สุชญา ปาลีวงศ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ช้อปปี้ (ประเทศไทย) บอกว่าเมื่อเปรียบเทียบระหว่างเดือนมกราคม 2563 กับช่วงเวลาปกติ เครื่องฟอกอากาศมีอัตราการเติบโตในเชิงยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า ขณะที่สินค้ากลุ่มหน้ากากอนามัยเพิ่มขึ้นราว 9 เท่า
เช่นเดียวกับลาซาด้า แจ็ค จาง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลว่ายอดขายสินค้าเครื่องฟอกอากาศและหน้ากากกันฝุ่นในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาบนแพลตฟอร์มของพวกเขามีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเครื่องฟอกอากาศมียอดขายโตกว่า 34 เท่า และหน้ากากกันฝุ่น PM2.5 โตกว่า 8 เท่า (ตัวเลขการเติบโตเทียบจากยอดขายเฉลี่ยของวันที่ 10-20 มกราคม 2563 กับยอดขายเมื่อต้นเดือนมกราคม)
ถึงอย่างนั้นก็ดี การที่ยอดขายสินค้าเครื่องฟอกอากาศและหน้ากากอนามัยมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงเช่นนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไร โดยเฉพาะเมื่อมองจาก ‘มุมของผู้บริโภค’ เนื่องจากศูนย์วิจัยได้ประเมินเอาไว้ว่าผลกระทบจากค่าเสียโอกาสด้านสุขภาพของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วง 1 เดือนอาจจะมีมูลค่าสูงถึง 2,000-3,000 ล้านบาทเลยทีเดียว (นับรวมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล การซื้อเครื่องกรองอากาศ และหน้ากากอนามัย)
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
