บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่และเหล่ามหาเศรษฐีแห่งซิลิคอนแวลลีย์ลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์มานานหลายปี โดยมองว่าเป็นแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนและสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียว ล่าสุดกระแสการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้การสนับสนุนอุตสาหกรรมนิวเคลียร์เพิ่มขึ้นไปอีก
ปัญญาประดิษฐ์แบบสร้างสรรค์ (Generative AI) เติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว ขณะที่โครงการพลังงานนิวเคลียร์ดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและมีข้อกำกับเข้มงวดจากหน่วยงานรัฐ นักวิจัยบางส่วนประเมินว่าเซิร์ฟเวอร์ AI รุ่นใหม่ๆ อาจต้องการใช้ไฟฟ้าสูงถึง 85 เทราวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งมากกว่าการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งปีของบางประเทศ
“หากมองในมุมนวัตกรรม แน่นอนว่าเราอยากเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นในประเทศ แต่กรอบของนวัตกรรมจะต้องถูกกำหนดโดยมองให้ไกลกว่าโครงสร้างและผลประโยชน์ของบริษัทใหญ่เหล่านี้” Sarah Myers West ผู้อำนวยการของ AI Now Institute กล่าว
หนึ่งในสตาร์ทอัพนิวเคลียร์ที่มี Sam Altman ซีอีโอของบริษัทพัฒนา AI ชื่อดังอย่าง OpenAI หนุนหลังคือ Oklo โดยเขาอธิบายว่า AI และพลังงานสะอาดที่ราคาจับต้องได้คือกุญแจสำคัญที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อไปให้ถึงจุดของ ‘ความสมบูรณ์’ ในอนาคต
Oklo มีเป้าหมายสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็กในชนบททางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐไอดาโฮ เพื่อป้อนไฟฟ้าให้กับศูนย์ข้อมูลที่บริษัทอย่าง OpenAI ต้องการใช้ บริษัทกำลังเดินหน้าสร้างโรงไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ 2 แห่งทางตอนใต้ของรัฐโอไฮโอด้วย เนื่องจากในอนาคตสหรัฐอเมริกาจะมุ่งไปสู่การนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้ในวงกว้างและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
“ปริมาณพลังงานที่เราจะต้องการใช้มีมหาศาล” Jacob DeWitte ซีอีโอของ Oklo ย้ำ “ไม่ใช่เพียงแค่รถยนต์ แต่รวมถึงกระบวนการให้ความร้อนและทำอาหาร หากเราต้องการเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้า เรายิ่งต้องการพลังงานมากขึ้นกว่านี้อีก”
Oklo พบว่าการทำให้หน่วยงานกำกับดูแลยอมรับแนวคิดใหม่ๆ นั้นยากกว่าการหาลูกค้าเสียอีก โดยในปี 2022 คณะกรรมการกำกับดูแลด้านนิวเคลียร์ปฏิเสธใบสมัครของบริษัทสำหรับการออกแบบโรงไฟฟ้า Aurora ในรัฐไอดาโฮ โดยให้เหตุผลว่าไม่ได้ให้ข้อมูลด้านความปลอดภัยเพียงพอ
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Aurora มีขนาดเล็กกว่าโรงไฟฟ้าที่เคยมีมา และรูปลักษณ์ภายนอกดูทันสมัยคล้ายบ้านพักสกีมากกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยุคสงครามเย็น DeWitte อธิบายว่าการออกแบบของพวกเขามีความปลอดภัยมากกว่า โดยใช้โลหะเหลวเป็นสารหล่อเย็นแทนน้ำ
ปัจจุบันอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์ไม่ได้ขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญในสหรัฐฯ มาหลายทศวรรษแล้ว แต่เนื่องจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น ตอนนี้ชาวอเมริกันส่วนใหญ่สนับสนุนการขยายการใช้พลังงานนิวเคลียร์ โดยจากการสำรวจของ Pew Research เมื่อปีที่แล้วพบว่าเห็นด้วยมากถึง 57% เพิ่มขึ้นจาก 43% ในปี 2020
ในขณะที่บริษัทเทคเร่งพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ ศูนย์ข้อมูลหลายแห่งประสบปัญหาในการเพิ่มขีดความสามารถได้ทันกับความต้องการใช้งาน ทำให้ค่าเช่าศูนย์ข้อมูลพุ่งสูงขึ้นเกือบ 16% ในปีที่ผ่านมา นี่คือหนึ่งในปัจจัยผลักดันให้ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมให้ความสนใจกับการลงทุนด้านนิวเคลียร์
นอกจากการลงทุนโดยตรงในบริษัทพลังงานนิวเคลียร์แล้ว นักวิจัยเชื่อว่าในอนาคต AI และศูนย์ข้อมูลจะต้องใช้พลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะเห็นการพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่มขึ้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
อ้างอิง: