ฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ของปีได้ดำเนินมาถึงหลายตลาดสำคัญทั่วโลก ทั้งสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และจีน ท่ามกลางบรรยากาศที่ผลประกอบการหลายส่วนออกมาดีกว่าคาด แต่บางตลาดกลับมีการเทขายเกิดขึ้น ขณะที่คำถามใหญ่เกี่ยวกับเทรนด์ AI ว่าเป็นเพียงฟองสบู่หรือไม่
สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) ให้สัมภาษณ์ในรายการ Morning Wealth วิเคราะห์ผลประกอบการไตรมาส 3 ปีนี้ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในจลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีการประกาศออกมาเกือบทั้งหมดแล้ว พบว่ามีถึง 64% ที่ออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่อยู่เพียง 49% สะท้อนว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีการเติบโตที่ค่อนข้างดี โดยเฉลี่ยแล้ว กำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ประมาณ 10% ขณะที่รายได้สูงกว่าที่คาดการณ์ 2%
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการออกมาดีกว่าคาด คือ การเติบโตของรายได้และการขยายตัวของอัตรากำไร (Margin) โดยรายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 6% เมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งสูงกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้าที่มีการประเมินไว้ที่ 4%
อย่างไรก็ตาม แม้ผลประกอบการจะออกมาดี แต่ตลาดบางแห่งกลับมีการเทขาย คุณสิทธิชัยอธิบายว่า หนึ่งในเหตุผลคือ ในช่วงไตรมาส 3 ตามปกติเป็นไตรมาสที่ไม่ได้ดีนัก และราคาหุ้นได้ปรับตัวสูงขึ้นมาเพื่อสะท้อนภาพบางอย่างก่อนการประกาศ เมื่อผลประกอบการออกมาเป็นไปตามคาดหรือสูงกว่าคาด จึงเกิดการปรับประมาณการขึ้น และเป็นจังหวะที่นักลงทุนทำการ Take Profit
ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง แต่ต้องยอมรับว่าอัตราการเติบโตของกำไรในไตรมาส 3 ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 8% จาก 11% ในไตรมาส 2 การชะลอตัวนี้สอดคล้องกับภาพรวมของเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงด้วย
บจ.ยุโรป กำไรดีกว่าคาด แต่เศรษฐกิจยังน่ากังวล
โดยผลประกอบการของ MSCI ยุโรปแสดงให้เห็นแนวโน้มที่คล้ายคลึงกับสหรัฐฯ คือ 52% ประกาศผลประกอบการดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ที่น่าสนใจคือ กำไรโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 7% ทั้งที่ก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่าจะปรับตัวลดลงเกือบ 1% สาเหตุหลักมาจาก Margin ที่มีการขยับตัวเพิ่มขึ้น และการอัปเกรดประมาณการกำไร
สิทธิชัย ยังชี้ว่า สิ่งที่ตลาดมีความกังวลในยุโรปคือภาพรวมของเศรษฐกิจที่อาจจะไม่ดีนัก แต่ผลประกอบการของบริษัทไม่ได้สะท้อนภาพเศรษฐกิจมหภาคเหมือนในสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่จัดอยู่ในกลุ่ม Old Economy ได้แก่ ยานยนต์ (Automotive), สินค้าฟุ่มเฟือย (Luxury Good), พลังงานสะอาด (Clean Energy) และธนาคาร ซึ่ง 4 กลุ่มนี้มีสัญญาณของการฟื้นตัว (Bottom Out) หรือ Turnaround ยกเว้นหุ้นกลุ่มธนาคาร
ดังนั้น ตลาดหุ้นยุโรปจึงตอบสนองต่อผลประกอบการของบริษัทมากกว่าภาพรวมทางเศรษฐกิจในไตรมาสนี้
จีน กลุ่มพลังงานสะอาดและ EV ระดับพรีเมียมโดดเด่น
แม้ผลประกอบการในจีนจะยังประกาศไม่เสร็จสิ้น แต่คาดการณ์ได้ว่าผลประกอบการออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยี
กลุ่มที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ได้แก่
- Clean Energy โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำโซลาร์เซลล์ มีการฟื้นตัว (Turnaround) ทั่วโลก
- Mid-tier EV Car เช่น Xpeng, Li Auto
- Insurance ตลาดพรีเมียมในกลุ่มประกันทำได้ดี
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีกลุ่มที่ยังไม่เห็นภาพชัดเจนนัก ได้แก่ การแข่งขันในสงครามราคา , ปัญหาความขัดแย้งทางการค้า (Trade War) ที่ยังไม่จบสิ้น, และการบริโภคภายในประเทศที่ยังคงต้องการการกระตุ้นอยู่ แม้ว่ามาตรการกระตุ้นจะดูเบาบางลงในระยะหลัง
สยบความกังวล ทำไม AI ถึงไม่เป็น Dot-com Bubble
ประเด็นที่นักลงทุนกังวลมากที่สุดคือ หุ้นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI อาจเป็นฟองสบู่เหมือนกับวิกฤต Dot-com ในปี 2000 สิทธิชัยยืนยันว่า ครั้งนี้ไม่ใช่ฟองสบู่ หากจะกังวล ควรจะกังวลตั้งแต่ปีที่แล้ว
โดยให้เหตุผลในการเปรียบเทียบกับวิกฤต Dot-com ดังนี้
1. ในช่วง Dot-com Bubble มีการลงทุนในระดับเกือบ 5% ของ GDP แต่การลงทุนใน AI รอบนี้อยู่ที่เพียงประมาณ 2.5-3% ของ GDP เท่านั้น ซึ่งแสดงว่าการลงทุนในปัจจุบันยังน้อยกว่าในอดีตมาก
2. ผลกำไรของบริษัท (Corporate Earnings) ในช่วงวิกฤต Dot-com กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีการลดลง แต่ในปัจจุบัน กำไรของบริษัทไม่ได้ลดลง
3. Valuation ค่ากลางของ P/E Ratio ของหุ้นกลุ่ม Tech ในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 32.6 เท่า ซึ่งสูง แต่ยังต่ำกว่าปีที่แล้วที่ 33.4 เท่า และต่ำกว่า P/E ของ Dot-com Bubble ที่เคยสูงถึง 64.5 เท่าอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Megacap 7) สามารถทำตามความคาดหวังที่สูงมากได้ ในช่วง Dot-com Bubble การเติบโตของรายได้พลาดเป้าที่คาดหวังไว้ แต่ Megacap 7 คาดหวังการเติบโตถึง 48% และผลประกอบการ 9 เดือนแรกก็ดีกว่าที่คาดทุกไตรมาส การที่บริษัทสามารถทำตามเป้าหมายได้ ทำให้การกล่าวหาว่าครั้งนี้เป็น Dot-com Bubble จึงไม่เป็นจริง
สิทธิชัยเสริมว่า หากกังวลเรื่อง Valuation ที่สูง ควรไปกังวลที่ S&P 500 มากกว่า เนื่องจากค่ากลางของ P/E Ratio สูงกว่าเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา
เปิดปัจจัยเสี่ยง ‘ฟองสบู่’ ที่แท้จริง คืออะไร
สิทธิชัย ประเมินต่อว่า ปัจจัยที่จะกระตุ้นให้เกิดฟองสบู่ (Bubble) มีอยู่ด้วยกัน 3 องค์ประกอบหลักที่ต้องจับตา ได้แก่
- SoftBank ธนาคารที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนและการกู้ยืม.
- Nvidia ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของชิป AI.
- Open AI ซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญของจักรวาล AI
สิทธิชัย ยังระบุต่อว่า ตัวที่มีความเสี่ยงจะเป็นฟองสบู่มากที่สุด ไม่ใช่ SoftBank หรือ Nvidia แต่คือ Open AI แต่การประเมินนี้ต้องรอให้ Open AI ทำ IPO ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปี 2027 ก่อน
การไหลออกของเงิน พันธบัตรญี่ปุ่นและ Flow ในตลาด
กรณีที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB Yield) ปรับตัวสูงขึ้นจนเกือบถึง 3% ทำให้เกิดความกังวลว่ากระแสเงินลงทุน (Flow) จะไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงกลับสู่เงินเยน
สิทธิชัยมองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และท่าทีของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนักลงทุนที่อาจมีมุมมองที่แตกต่างกัน ก็เลือกที่จะพักเงินไว้ในพันธบัตรบ้าง เพื่อรอจังหวะให้สัญญาณการกลับตัวของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชัดเจนขึ้น
โดยเงินจำนวนมากยังคงไหลเข้าสู่ Money Market Fund บ่งชี้ว่า ตลาดกำลัง Stay on the sidelines หรือ รอสังเกตการณ์ และรอความชัดเจน แต่ในทางตรงกันข้าม ยังไม่มีการไหลออกของกระแสเงินจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น ภาพที่เห็นจึงเป็นเพียงการพักเงินไว้ก่อน เนื่องจากความกังวลต่อความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่การโยกย้ายเงินลงทุนครั้งใหญ่ (Allocation)


