วันนี้ (13 ส.ค.) มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมมอบนโยบายให้แก่ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกรมวิชาการเกษตร ว่า กรมวิชาการเกษตรเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญด้านการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืช เครื่องจักรกลการเกษตร และเป็นศูนย์กลางรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรด้านพืชในระดับสากลบนพื้นฐานของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ดังนั้น เรื่องสุขภาพอนามัยของเกษตรกรและผู้บริโภคจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ จึงได้มอบแนวทางปฏิบัติงาน ดังนี้
1. ให้ทบทวนการใช้สารเคมีอันตรายที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ พาราควอต, คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซส รวมถึงปุ๋ย ยา หรือสารเคมีชนิดอื่นๆ ที่กำลังจะมีการออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ในการอนุญาต ขอให้ชะลอไว้ก่อน และตั้งเป้าหมายว่าจะยกเลิกการใช้สารเคมีเกษตรทั้ง 3 ชนิดดังกล่าว ให้เร็วที่สุดภายในปี 2562 โดยต้องหายไปจากประเทศไทย พร้อมทั้งรณรงค์ให้เกษตรกรลดละการใช้สารเคมีทางการเกษตร และหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์มากขึ้น เพื่อความปลอดภัยของเกษตรกรและผู้บริโภค
2. ให้กรมวิชาการเกษตรดำเนินการศึกษาวิจัยเมล็ดพันธุ์กัญชาที่จะปลูกให้ได้คุณภาพ เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และกระทรวงสาธารณสุขให้การรับรอง พร้อมทั้งจะส่งเสริมให้กลุ่มสหกรณ์เป็นผู้ปลูกและรับซื้อผลผลิตอย่างถูกต้อง
3. ขอให้เข้มงวดการตรวจสอบสินค้าเกษตรนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันโรคพืชและแมลงที่จะเข้ามาแพร่ระบาดในไทย
4. ให้กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ บูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยการวิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ ขอให้คำนึงถึงความต้องการของตลาด พร้อมทั้งใช้กลไกสหกรณ์ส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มผลิตสินค้าเกษตรให้ตรงกับความต้องการของตลาดด้วย
5. ป้องปรามปุ๋ยปลอมด้วยการระบุบาร์โค้ด เพื่อให้ผู้ซื้อสามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นปุ๋ยจริงหรือไม่ เพื่อให้เกษตรกรได้ปุ๋ยที่มีคุณภาพ และผู้บริโภคมีความปลอดภัยจากสารเคมี ทั้งนี้ ฉลากยาอันตรายที่กำกับบนผลิตภัณฑ์สารเคมีเกษตรจะต้องมีตัวหนังสือที่ชัดเจน อ่านง่าย ไม่ตัวเล็กจนเกินไป โดยเจ้าหน้าที่ของกรมฯ จะต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่เกษตรกรในการเลือกใช้ปุ๋ยเพื่อการเกษตรอย่างปลอดภัยด้วย
“ผลการวิจัยและพัฒนาของกรมวิชาการเกษตรจะต้องสร้างความรู้ความเข้าใจให้เกษตรกรได้รับประโยชน์ โดยกรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ จะต้องบูรณาการทำงานร่วมกัน รวม 3 อย่างให้เป็นหนึ่งเดียว อย่าต่างคนต่างทำ โดยกรมวิชาการเกษตรควรมีข้อมูลว่า ขณะนี้ทางสมาชิกสหกรณ์ต้องการทำอะไร หรือปลูกพืชชนิดไหน แล้วจึงวิเคราะห์วิจัยพันธุ์พืชชนิดนั้น เพื่อตอบสนองกับความต้องการของตลาดได้ตรงจุด” มนัญญากล่าวทิ้งท้าย
ภาพ: Royal Thai Government
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: