สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดผลวิจัยที่พบประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตประชากรครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เมื่อตัวเลขเด็กเกิดใหม่ดิ่งเหวสู่จุดต่ำสุดที่ 462,240 คนในปี 2567 ต่ำกว่า 500,000 คนเป็นครั้งแรก สวนทางกับจำนวนผู้เสียชีวิตที่พุ่งแตะ 571,646 คน ส่งผลให้อัตราเพิ่มประชากรติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ที่ -0.17% สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรครั้งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้น
รศ. ดร.เฉลิมพล แจ่มจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม เปิดเผยข้อมูลสะเทือนใจว่า อัตราเจริญพันธุ์รวมของไทยทรุดหนักเหลือเพียง 1.03 หมายความว่าผู้หญิงไทย 1 คนมีลูกโดยเฉลี่ยเพียง 1 คนเท่านั้น ใกล้เคียงกับประเทศที่มีอัตราการเกิดต่ำสุดในโลกอย่างเกาหลีใต้ (0.72) และสิงคโปร์ (0.94) ซึ่งต่ำกว่าระดับทดแทนประชากรที่ควรอยู่ที่ 2.1 อย่างมีนัยสำคัญ
‘ความเปลี่ยนแปลงทางประชากร’ ที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ตัวเลขการเกิด แต่ยังส่งผลกระทบต่อโครงสร้างครอบครัวไทย สะท้อนผ่านสถิติการจดทะเบียนสมรสที่ลดลงเหลือเพียง 263,087 คู่ในปี 2567 จากที่เคยมีมากกว่า 300,000 คู่ต่อปี ขณะที่อัตราการหย่าร้างกลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อการมีครอบครัวของคนรุ่นใหม่
ที่น่าตกใจไปกว่านั้น ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนจำนวน 1,042 คน พบว่า แม้ 71% จะมองว่าเด็กเกิดน้อยเป็นวิกฤตของประเทศ แต่มีเพียง 44% เท่านั้นที่สนับสนุนนโยบายส่งเสริมการเกิด โดยผู้หญิงเห็นด้วยเพียง 42% น้อยกว่าผู้ชายที่ 52% สะท้อนให้เห็นว่าการแก้ปัญหาเชิงนโยบายอาจไม่ใช่คำตอบเดียว และรัฐบาลจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจที่ซับซ้อนมากขึ้น
ขณะที่ภาพอนาคตยิ่งน่าวิตก เมื่อการคาดการณ์ในอีก 50 ปีข้างหน้าชี้ว่าประชากรไทยจะเหลือเพียง 40.6 ล้านคน โดยเฉพาะวัยแรงงานที่จะลดฮวบจาก 42 ล้านคนในปัจจุบัน เหลือเพียง 18 ล้านคน ซึ่งจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความมั่นคงทางสังคมในระยะยาว
แต่ท่ามกลางความท้าทายนี้ยังมีสัญญาณบวกที่น่าสนใจ เมื่อสังคมไทยเริ่มเปิดรับแนวคิดการปรับตัวสู่สังคมสูงวัยมากขึ้น โดย 66% สนับสนุนการปรับนิยามผู้สูงอายุจาก 60 เป็น 65 ปี และ 64% เห็นด้วยกับการขยายอายุเกษียณเป็น 65 ปี
นอกจากนี้คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะเจเนอเรชัน Z (77%) และ Y (55.7%) ยังแสดงความสนใจที่จะไปทำงานหรือใช้ชีวิตในต่างประเทศ เปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการพัฒนาทักษะแรงงานในระดับสากล
ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือการเปิดรับแนวคิดการนำเข้าแรงงานข้ามชาติเพื่อทดแทนแรงงานที่ขาดแคลน โดยเฉพาะในกลุ่มเจเนอเรชัน Y (41.2%) และ Z (37.3%) ที่มีทัศนคติเชิงบวกต่อประเด็นนี้มากกว่าเจเนอเรชันก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในความจำเป็นของการปรับตัวในยุคโลกาภิวัตน์
นอกจากนี้ยังมีความก้าวหน้าในด้านนโยบายสุขภาพ โดย 84.7% เห็นด้วยกับการทำพินัยกรรมชีวิตเพื่อแสดงเจตนาไม่ยืดการตายในวาระสุดท้าย สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมของสังคมไทยในการรับมือกับประเด็นท้าทายของสังคมสูงวัยอย่างรอบด้าน
‘วิกฤตครั้งนี้คือโอกาส’ ในการปรับโครงสร้างประชากรครั้งใหญ่ของไทย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มบทบาทผู้สูงอายุและผู้หญิงในตลาดแรงงาน การใช้เทคโนโลยีและ AI ทดแทนแรงงานที่ขาดแคลน การส่งเสริมการย้ายถิ่นฐานแบบมีทิศทาง หรือแม้แต่การพลิกวิกฤตเป็นโอกาสในการพัฒนาที่ยั่งยืน
ศ.เกียรติคุณ ดร.อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์ ที่ปรึกษาอาวุโสสถาบันวิจัยประชากรและสังคม ทิ้งท้ายอย่างน่าคิดว่า “โจทย์ใหญ่ของความมั่นคงทางประชากรที่เป็นทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพนี้เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่จะต้องคิดร่วมกัน” เพราะการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเพิ่มจำนวนประชากร แต่เป็นการออกแบบอนาคตใหม่ให้สังคมไทยในทุกมิติ