ความคิดที่ว่าจะได้ทำอะไรๆ อย่างอิสระ เช่น จองทริปไปเที่ยวต่างประเทศ หรือถ่ายรูปเป็นหมู่คณะโดยไม่ลืมถอดหน้ากากออกก่อน อาจดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัวไปแล้วในตอนนี้ หลังจากที่ผู้คนทั่วโลกต้องอยู่กับโควิดมานานกว่า 2 ปี อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อเชื่อว่าสถานการณ์โควิดอาจจบลงได้ในปี 2022 แต่ขอขีดเส้นใต้คำว่า ‘อาจจะ’
ดร.ทอม ฟรีเดน ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ ในสมัยของประธานาธิบดีบารัก โอบามา กล่าวว่า “ผมคิดว่าถ้าเราทำถูกต้อง เราจะมีปี 2022 ที่โควิดไม่ครอบงำชีวิตเรามากนัก”
สถานการณ์การระบาดจะเป็นอย่างไรต่อไป คือคำถามที่ ดร.อิวอนน์ มัลโดนาโด นักระบาดวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อจาก Stanford Medicine และเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ตลอดจนนักวิชาการและผู้นำด้านสาธารณสุขในท้องถิ่น ยังคงพยายามค้นหาคำตอบ
มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป นั่นคือ
“เราไม่รู้จริงๆ” มัลโดนาโดกล่าว
ที่ผ่านมาเรามีแบบจำลองโรคและบทเรียนจากการระบาดใหญ่ในอดีต แต่การอุบัติขึ้นของสายพันธุ์โอมิครอนทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะฟันธงว่าสิ่งที่บรรดานักวิทยาศาสตร์ทำนายหรือคาดเดากันมานั้นจะถูกต้องแน่นอน
“พวกเราไม่มีใครคาดคิดถึงโอมิครอนเลย” มัลโดนาโดกล่าว “อันที่จริงก็มีสิ่งบอกใบ้อยู่บ้าง แต่เราไม่ได้คาดว่ามันจะเกิดขึ้นในแบบที่เราเห็น”
ข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ระบุว่า มากกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนผู้ป่วยโรคโควิดทั้งหมดในสหรัฐฯ เกิดขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงที่มีการระบาดของโอมิครอน
เมื่อวันพฤหัสบดี จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงอย่างน้อย 10% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้วใน 14 รัฐ แต่ 26 รัฐพบว่ามีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% ตามข้อมูลของจอห์นส์ฮอปกินส์
ดูเหมือนว่าการระบาดของโอมิครอนจะถึงจุดสูงสุดแล้วในบางพื้นที่ในสหรัฐฯ ที่พบสายพันธุ์นี้ก่อนใคร เช่น บอสตัน และนิวยอร์ก แต่ใช่ว่าจะวางใจได้ เพราะสถานการณ์การระบาดยังไม่สามารถควบคุมได้ในส่วนอื่นๆ ของประเทศ เช่น ในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย โรงพยาบาลต่างๆ มีบุคลากรไม่พอรองรับจำนวนผู้ป่วย เช่นเดียวกับในเมืองมินนิโซตา รัฐลุยเซียนา ที่จอห์น เบล เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้ว่าการรัฐ กล่าวว่า ผู้ป่วยโรคโควิดจำนวน ‘มหาศาล’ รวมถึงผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและผู้เสียชีวิตนั้น มากที่สุดเท่าที่รัฐลุยเซียนาเคยเผชิญมา
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อต่างมีความหวังจากสิ่งที่เกิดขึ้นในแอฟริกาใต้
“แอฟริกาใต้เป็นเหมือนสัญญาณเตือนของเรา เพราะพวกเขาสามารถตรวจเจอโอมิครอนได้ก่อน” มัลโดนาโดกล่าว
นักวิทยาศาสตร์ชาวแอฟริกาใต้พบสายพันธุ์นี้เป็นครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน โดยจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศพุ่งขึ้นและลดลงอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับในสหราชอาณาจักร และนั่นคือสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นกับประเทศอื่นๆ
ดร.จอห์น สวาร์ตซ์เบิร์ก ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อและวัคซีน และศาสตราจารย์คลินิกกิตติคุณ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ กล่าวว่า “ผมคาดหวังว่าในระยะสั้น ในอีก 6 สัปดาห์ อาจจะ 4-6 สัปดาห์ มันจะยังคงค่อนข้างรุนแรง จะเป็นช่วงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนที่เราจะได้เห็นสถานการณ์เริ่มดีขึ้น”
สวาร์ตซ์เบิร์กเชื่อว่าเดือนมีนาคมถึงฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อนจะเป็นเหมือนปีที่แล้ว คือ มีจำนวนผู้ป่วยลดลงอย่างต่อเนื่อง “เราจะสามารถทำสิ่งต่างๆ ในชีวิตได้มากขึ้น ผมคิดว่าเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายนสถานการณ์จะดีขึ้นจริงๆ ผมค่อนข้างมองในแง่ดี”
สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้สวาร์ตซ์เบิร์กมีมุมมองบวกนั้นเป็นเพราะประชากรมีภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นมาก ทั้งผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนและบูสเตอร์ และผู้ที่ติดเชื้อโควิดในระลอกโอมิครอน
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่าโควิดจะไม่หายไปอย่างสิ้นเชิง
“ฉันเชื่อว่าไวรัสเวอร์ชันอื่นจะกลับมา” มัลโดนาโดกล่าว “นั่นคือสิ่งที่ทำให้ไม่แน่นอนว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป”
สายพันธุ์ใหม่อาจแพร่เชื้อได้เท่ากับหรือมากกว่าโอมิครอน อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงมากกว่า หรือไม่แสดงอาการเลยก็ได้
“ไม่ชัดเจนเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป” ดร.จอร์จ รัทเทอร์ฟอร์ด นักระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก กล่าว เขากล่าวว่าไวรัสอาจค่อยๆ กลายพันธุ์ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับสายพันธุ์อัลฟาและเบตา หรือมันอาจก้าวกระโดดแบบเดลตาและโอมิครอน “จะเกิดอะไรต่อไป? มันเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน”
ตัวอย่างเช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ H1N1 เป็นไวรัสชนิดใหม่เมื่อเริ่มมีการระบาดครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เมื่อปี 1918 โดยทำให้ประชากรโลกติดเชื้อถึง 1 ใน 3 และคร่าชีวิตผู้คนไป 50 ล้านคน
การระบาดใหญ่สิ้นสุดลงในที่สุด แต่ไวรัสยังคงอยู่กับเราจนถึงทุกวันนี้
“นั่นคือบรรพบุรุษของไวรัส H1N1 ทั้งหมดที่เราเห็นทุกปี” มัลโดนาโดกล่าว “พวกมันมีการกลายพันธุ์หลายครั้งตั้งแต่นั้นมา แต่มันมาจากสายพันธุ์เดียวกัน ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่ไวรัสตัวนี้จะทำสิ่งที่คล้ายกัน”
สหรัฐฯ ยังคงมีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่โดยเฉลี่ยประมาณ 35,000 คนต่อปี ตามรายงานของ CDC แต่ “เราดำเนินชีวิตของเราต่อไป” สวาร์ตซ์เบิร์กกล่าว “ผมไม่คิดว่ามันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมแน่นอน”
มัลโดนาโดกล่าวว่า “นั่นเป็นการมองสถานการณ์ในแง่ดีที่สุด”
ผู้เชี่ยวชาญแนะว่า ทั่วโลกจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการปกป้องผู้ที่มีความเสี่ยงว่าจะป่วยรุนแรง ด้วยการมอบการเข้าถึงวัคซีน โมโนโคลนอลแอนติบอดี และยาต้านไวรัส
มัลโดนาโดกล่าวว่า บริษัทวัคซีนจำเป็นต้องผลิตวัคซีนเฉพาะสายพันธุ์ เพื่อให้ผู้คนสามารถฉีดวัคซีนโควิดได้ทุกปี ขณะที่สวาร์ตซ์เบิร์กกล่าวว่า “ยาและโมโนโคลนอลไม่มีประโยชน์ เว้นแต่คุณจะรู้ว่าคุณติดเชื้อโควิด”
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า กรณีที่แย่ที่สุดยังอาจเกิดขึ้นได้ หากไม่มียาต้านไวรัสหรือโมโนโคลนอลเพียงพอที่จะรักษาผู้ป่วย หรือหากผู้ผลิตวัคซีนไม่สามารถผลิตวัคซีนเฉพาะสายพันธุ์ได้เร็วพอ
ในกรณีที่แย่ที่สุดคือ ถ้าไวรัสสายพันธุ์หนึ่งสามารถหลบหนีการป้องกันของวัคซีนและการรักษา อย่างไรก็ดีมัลโดนาโดเชื่อว่า “ฉันคิดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นน้อยกว่า”
ดร.แอนโทนี เฟาชี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ กล่าวว่า เขาหวังว่าสถานการณ์นั้นจะไม่เกิดขึ้น “ผมไม่สามารถบอกคุณได้ว่ามีโอกาสมากแค่ไหนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น แต่เราต้องเตรียมพร้อม
“ดังนั้นเราจึงคาดหวังถึงสิ่งที่ดีที่สุด และเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด”
ภาพ: Ying Tang / NurPhoto via Getty Images
อ้างอิง: