กำลังจะเปิดม่านฟาดเพลงแข้งกันแล้ว สำหรับการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน หรือ AFF Suzuki Cup โดยแฟนบอลหลายคนน่าจะได้เห็นรายชื่อผู้เล่น 23 คนสุดท้ายของทีมชาติไทยชุดใหญ่ที่จะมีคิวลงป้องกันแชมป์ในศึกชิงแชมป์อาเซียน 2018 ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
สำหรับศึก AFF Suzuki Cup ปีนี้ ทีมชาติไทยที่คำรบนี้จะนำโดย มิโลวาน ราเยวัช เฮดโค้ชของไทยวัย 64 ปี ซึ่งส่งผู้เล่นที่ยังไม่เคยลงแข่งขันในรายการดังกล่าวพร้อมผู้เล่นชุดแชมป์เก่า 3 คนอย่าง ปกเกล้า อนันต์, มงคล ทศไกร และ ธนบูรณ์ เกษารัตน์ โดย 2 รายหลังมีลุ้นสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ AFF Suzuki Cup 3 สมัยติด และแต่งตั้งให้ เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว ปราการหลังทีมชาติไทยวัย 31 ปี เป็นกัปตันทีมสำหรับชุดป้องกันแชมป์อาเซียนครั้งนี้
โดยการคัดผู้เล่นครั้งนี้ของโค้ชมิโลวานจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่า ผู้เล่นที่เรียกมารับใช้ชาติชุดนี้มีดีไม่แพ้กับชุดที่ได้แชมป์เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ในยุคของโค้ชซิโก้ แม้การลงป้องกันแชมป์รอบนี้จะไม่มีสตาร์ดังอย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์, ธีราทร บุญมาทัน และ ธีรศิลป์ แดงดา เจ้าของรางวัลดาวซัลโวในรายการนี้จากครั้งที่แล้ว แต่สื่อจากหลายแห่งก็ยังคงยกให้ไทยเป็นเต็งหนึ่งของรายการอยู่ดี
อย่างไรก็ตามหลายคนในฐานะแฟนบอลคนไทย ย่อมรู้ประสิทธิภาพและความสามารถของขุนพลช้างศึกเราดีอยู่แล้ว ขณะที่เราอาจไม่รู้มากนักว่าคู่แข่งในศึกชิงแชมป์อาเซียนครั้งนี้แต่ละทีมเป็นอย่างไร และจาก 9 ทีม แต่ละทีมจะมีจุดไหนบ้างที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ
เวียดนาม
หลังจากสิ้นเสียงนกหวีดที่สนามกีฬา My Dinh ที่ประเทศเวียดนาม ท่ามกลางเสียงเฮจากแฟนบอลเจ้าถิ่นในนัดที่เวียดนามสามารถเอาชนะทีมชาติไทยในรอบชิงไปได้ 3-2 ประตู (จากการแข่ง 2 นัด) พร้อมการชูถ้วย AFF Suzuki Cup 2008 ที่ส่งให้เวียดนามเป็นแชมป์รายการนี้สมัยแรกและสมัยเดียว จนถึงวันนี้เป็นเวลาครบ 10 ปีเต็มที่ทีมดาวทองไม่ได้ชูถ้วยนี้ แต่วันนี้หลายสิ่งกำลังเปลี่ยนไป หลังจากที่ทีมชาติเวียดนามประกาศ 23 รายชื่อลงแข่งที่เต็มไปด้วยเด็กเจเนอเรชันใหม่ ความฟิตเต็มร้อย ที่มาพร้อมกับความรู้สึกว่า ในครั้งนี้ควรจะเป็นเวลาทวงคืนความยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้เสียที
ซึ่งการที่คิดอย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะนักเตะส่วนใหญ่ในชุดนี้เป็นผู้เล่นจากชุด U23 ที่มีดีกรีถึงการคว้ารองแชมป์เอเชีย รวมถึงการสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการจบเป็นอันดับที่ 4 ในเอเชียนเกมส์เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ทำให้ทีมชาติเวียดนามชุดนี้กลายเป็นทีมที่น่าจับตามอง และไม่ควรประมาทเป็นอย่างยิ่ง
อินโดนีเซีย
ส่วนอีกทีมที่จะประมาทไม่ได้เลยคืออินโดนีเซีย จากการคุมทัพโดยอดีตนักเตะทีมชาติอย่าง บิมา ซัคติ ที่เคยประสบความสำเร็จในฐานะนักเตะร่วมกับทัพอิเหนามาอย่างโชกโชน แถมยังกลายเป็นเฮดโค้ชชาวอินโดนีเซียคนแรกที่ได้เข้าร่วมการแข่งขันในศึก AFF Suzuki Cup ทั้งในฐานะนักเตะและกุนซือ ที่แสดงออกถึงความกระหายด้วยการประกาศว่า จะพาทีมคว้าแชมป์เป็นครั้งแรกให้ได้ หลังจากกองทัพการูด้าต้องตกอยู่ในบทพระรองของรายการนี้ถึง 5 ครั้ง
นอกจากนี้ยอดทีมแดนอิเหนายังคงเป็นอีกทีมในอาเซียนที่มีการพัฒนาทีมอย่างก้าวกระโดดมาเรื่อยๆ ไม่แพ้ชาติใด แถมนักเตะที่ถูกเรียกให้เข้าร่วมสมรภูมิครั้งนี้ยังเป็นชุดที่ผสมผสานระหว่างนักเตะตัวเก๋าและดาวรุ่งหน้าใหม่อย่าง อัลแบร์โต กอนซัลเวส กองหน้าตัวเก๋าวัย 37 ปี เชื้อสายบราซิล ที่เพิ่งจะโอนสัญชาติลงเล่นให้กับอินโดนีเซียครั้งแรกในการแข่งเอเชียนเกมส์ที่ผ่านมา และยังพ่วง 2 จอมทัพตัวเก่งอย่าง สเตฟาโน ลิลิปาลี และ ริซกี โปรา ที่เคยเล่นงานทีมชาติไทยมาแล้วในนัดชิงเลกแรกเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แม้ท้ายที่สุดจะบุกมาปราชัยให้กับทีมชาติไทยในเลกที่ 2 ด้วยสกอร์ 2-0 และพลาดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดายก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เห็นว่าอินโดนีเซียยังเป็นอีกคู่แข่งที่น่ากลัวเสมอในสายตาของไทย
ฟิลิปปินส์
สำหรับทีมชาติฟิลิปปินส์ที่รอบนี้นำทัพโดย สเวน โกรัน อีริคส์สัน กุนซือมากความสามารถที่เคยผ่านงานคุมทีมอย่าง ทีมชาติอังกฤษ, ทีมชาติไอวอรีโคสต์ และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อีกทั้งยังมี สกอตต์ คูเปอร์ อดีตโค้ชของ โปลิส เทโร เอฟซี ที่จะมาในฐานะผู้ช่วย ซึ่งเคยทำงานด้วยการเป็นโค้ชในไทยลีกให้กับหลายสโมสร ถือว่าเป็นอีกทีมที่น่าจะรู้จักรูปแบบของฟุตบอลไทยเป็นอย่างดี
รวมถึงยังมีนักเตะที่น่าจับตามองอย่าง นีล เอเธอริดจ์ มือกาวดีกรีพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ของทีมคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ เป็นอีกหนึ่งอาวุธเด็ดที่น่าจะทำให้กรอบเขตโทษของฟิลิปปินส์แข็งแกร่งมากขึ้น รวมไปถึงศูนย์หน้าดีกรีแชมป์ไทยลีกที่เรารู้กันดีอย่าง ฮาเวียร์ ปาติญโญ จากสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และผู้เล่นคนอื่นๆ ที่จะเสริมกำลังให้ทัพตากาล็อกมีลุ้นสร้างเซอร์ไพรส์ไปถึงแชมป์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติฟิลิปปินส์ก็เป็นได้
มาเลเซีย
เป้าหมายเดียวของทัพเสือเหลืองในรายการนี้เพียงอย่างเดียว นั่นคือการเข้าสู่ตำแหน่งแชมป์ของศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียนอีกครั้ง หลังจากที่เคยทำได้ด้วยการเอาชนะอินโดนีเซียในปี 2010 พร้อมคว้าแชมป์สมัยแรกไปครองอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งการลงแข่งครั้งนี้ของพวกเขาจะต้องลงสนามพร้อมกับความคาดหวังที่สูงไม่แพ้ชาติอื่นแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตามมาเลเซียชุดนี้ ภายใต้การทำทีมโดย ตันเจิ้งเหอ ยังคงมีทีเด็ดอยู่เสมอ หากได้ลองไล่ดูรายชื่อนักเตะชุดนี้เราจะเห็นการผสมผสานของแข้งเก่าและแข้งใหม่ โดยหนึ่งในนั้นมีรายชื่อนักเตะที่น่าสนใจของทีมชุดนี้ ซึ่งหนีไม่พ้นซูเปอร์สตาร์คนใหม่แห่งลูกหนังแดนเสือเหลือง ซาฟาวี ราซิด จากสโมสร ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม ทีมดังจากมาเลเซีย ที่มีทักษะและเทคนิคการเล่นที่ดีเยี่ยม รวมถึงการสร้างสรรค์จังหวะลุ้นประตูจากฟรีคิกที่อันตราย และยังสามารถเล่นได้ทั้งตำแหน่งปีกไปจนถึงการยืนค้ำเป็นกองหน้า ซึ่งไม่แปลกใจเลยที่แฟนบอลจะเชื่อกันว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นทีเด็ดให้กับทีม และอาจจะแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในทัวร์นาเมนต์นี้
สิงคโปร์
เจ้าของตำแหน่งแชมป์อาเซียน 4 สมัยของรายการนี้อย่างสิงคโปร์ แม้ดูจากรายชื่อผ่านๆ อาจจะดูไม่น่าเกรงขามเท่า 2 ปีที่แล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าสิงคโปร์ก็ยังนับว่าเป็นอีกทีมที่ไม่ควรละสายตาเลยจริงๆ เนื่องจากนักเตะชุดนี้ยังมีผู้เล่นอีกหลายคนที่ฝีมืออยู่ในขั้นดีมากๆ ไม่ว่าจะเป็น ฮาริส ฮารูน กองกลางตัวเก๋าที่รับหน้าที่เป็นกัปตันทีม นอกจากนั้นยังมี 2 กองหลังจากไทยลีก ซูลฟามีห์ อารีฟิน จากสโมสรชลบุรี เอฟซี และ ไบฮัคกี้ ไคซาน อีกหนึ่งกองหลังตัวเก๋าจากสโมสรอุดรธานี เอฟซี ที่เคยอยู่ในชุดคว้าแชมป์รายการนี้เมื่อ 6 ปีที่แล้ว อีกทั้งภายใต้การนำทีมของโค้ชอย่าง ฟานดี้ อาห์หมัด อดีตกองหน้าระดับตำนานของสิงคโปร์ ตลอดการลงอุ่นเครื่อง 4 ครั้งที่ผ่านมา พวกเขายังไม่เคยแพ้ใครอีกด้วย
เมียนมา
เป็นอีกหนึ่งทีมที่เต็มไปด้วยสายเลือดใหม่ๆ จากการนำทัพโดย อองตวน เฮย์ กุนซือมากความสามารถชาวเยอรมนี ที่แม้จะเริ่มเข้ามารับงานเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ก็ถือว่ากล้าที่จะใช้นักเตะส่วนใหญ่จากผลผลิตชุด U20 ที่เคยผ่านรายการชิงแชมป์โลกมาแล้วในปี 2015 รวมถึงการมีผู้เล่นตัวหลักของทีมชุดนี้อย่าง ซอ มิน ตุน แนวรับจอมเก๋าวัย 26 ปี และอีกคนที่ชาวไทยน่าจะรู้จักดีคือ อ่อง ธู ศูนย์หน้าตัวความหวังที่เพิ่งจะย้ายมาค้าแข้งในไทยกับ โปลิศ เทโร เอฟซี ฤดูกาลที่ผ่านมาและโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ว่าท้ายที่สุดจะสามารถช่วยให้ต้นสังกัดรอดจากการตกชั้นได้ จนตอนนี้หลายทีมในไทยลีกต่างให้ความสนใจกับกองหน้ารายนี้เป็นอย่างมาก น่าจะเป็นอีกนักเตะที่น่าจะมีส่วนช่วยทีมได้มากคนหนึ่ง ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่าเมียนมาจะสามารถพาทีมไปถึงถ้วยแชมป์ได้ไหม หลังจากที่เคยเข้ารอบลึกสุดคือรอบรองชนะเลิศเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
กัมพูชา
สำหรับทัพกูปรีสีน้ำเงินยังคงต้องเหนื่อยอีกเยอะมาก หากหวังที่จะประสบความสำเร็จในทัวร์เมนต์นี้ หลังจากที่ไม่เคยหลุดออกจากรอบแบ่งกลุ่มเลยสักครั้งเดียว นับตั้งแต่ลงแข่งรายการนี้เป็นจำนวน 7 ครั้ง ทั้งนี้ทั้งนั้นการลงแข่งในครั้งนี้ของทีมชาติกัมพูชา นอกจากนักเตะที่น่าจับตามองอย่าง จัน วัฒนากา กองหน้าซูเปอร์สตาร์ของทีมแล้ว เรื่องของเฮดโค้ชเองก็น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือการร่วมมือกันของ เฟลิกซ์ ดัลมาส กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ และ เคสุเกะ ฮอนดะ กองกลางประสบการณ์สูงของทีมชาติญี่ปุ่น แม้ว่าปัจจุบันยังค้าแข้งอยู่กับเมลเบิร์นวิกตอรี ในลีกสูงสุดของออสเตรเลีย แต่ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งในการคุมทัพกูปรีสีน้ำเงินไปในเวลาเดียวกัน ซึ่งต้องมาดูกันยาวๆ ว่าการทำงานในฐานะโค้ชของทั้ง เฟลิกซ์ ดัลมาส และ เคสุเกะ ฮอนดะ ที่ถือว่าเป็นมือใหม่มากหากเทียบกับโค้ชคนอื่นในศึกนี้จะสามารถพาเหล่านักรบอังกอร์ไปได้ไกลขนาดไหนกับรายการนี้
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ยังคงต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไปสำหรับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หลังจากเป็นอีกทีมที่ไม่เคยผ่านรอบแบ่งกลุ่มได้เลย และครั้งนี้นำทัพโดย วี สุนทรมูรติ อดีตนักเตะระดับตำนานของทีมชาติสิงคโปร์ ซึ่งมีสตาร์อย่าง สุขพร วงศ์เชียงคำ เจ้าของฉายา ‘เมสซีลาว’ ที่ค้าแข้งอยู่ในไทยลีกกับทีมศรีสะเกษ เอฟซี และ พัดทะนา พรมมะเทพ กองกลางดาวรุ่งที่เคยค้าแข้งกับชลบุรี เอฟซี ล้วนแต่เป็นนักเตะตัวความหวังของ สปป.ลาว ในครั้งนี้ รวมถึงการมีลุ้นที่จะพาทีมทะลุเข้ารอบรองชนะเลิศด้วยเช่นกัน
ติมอร์-เลสเต
ทีมสุดท้ายที่จะพูดถึงคือ ติมอร์-เลสเต ยังเป็นอีกครั้งที่ยังถูกมองว่าเป็นไม้ประดับในรายการนี้ ด้วย FIFA Ranking ของทีมที่อยู่ในอันดับที่ 190 โดยการนำทัพของ โนริโอะ สึกิทาเตะ หัวหน้าผู้ฝึกสอนวัย 56 ปี แม้เจ้าตัวจะเคยรับงานคุมทีมมาอย่างมากมายในย่านเอเชีย แต่ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่านี่คืองานที่หินมากๆ หลังจากต้องจำใจเรียกนักเตะที่อายุไม่เกิน 20 ปีเข้าลงแข่งในรายการนี้มากกว่า 13 ราย ซึ่งเป็นผลพวงจากการโดนสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชียลงดาบจากกรณีปลอมแปลงเอกสารการโอนสัญชาติของนักเตะชาวบราซิลมากถึง 12 ราย จนเป็นเหตุทำให้ต้องเริ่มหานักเตะใหม่จากท้องถิ่นขึ้นมาทดแทน ด้วยปัจจัยเหล่านี้ สิ่งที่ติมอร์ยังคงมีหวังคือการลุ้นสร้าง Prize ด้วยการเก็บชัยชนะให้ได้สักแมตช์ตลอดการแข่งในทัวร์นาเมนต์นี้
อย่างไรก็ตามขึ้นชื่อว่าฟุตบอลกับลูกกลมๆ อะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ และแม้ว่าทัวร์นาเมนต์นี้อาจจะไม่ยิ่งใหญ่มากเมื่อเทียบกับหลายๆ รายการบนโลกใบนี้ แต่ในฐานะผู้ชมคนหนึ่ง เราจะเห็นว่าถ้วยใบนี้มันคือศักดิ์ศรีที่จะบ่งบอกว่าใครคือเจ้าแห่งอาเซียนตัวจริง และเชื่อเหลือเกินว่าการแข่งขันกำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายน หลังจากนี้จะเต็มไปด้วยความมันและความสนุกสนานไม่แพ้ครั้งไหนแน่นอน
โดยทีมชาติจะเริ่มลงแข่งขันในกลุ่ม B ซึ่งมีตารางการแข่งขันตามนี้
- วันที่ 9 พฤศจิกายน 2561 ติมอร์-เลสเต พบ ไทย เวลา 19.00 น. ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน
- วันที่ 17 พฤศจิกายน 2561 ไทย พบ อินโดนีเซีย เวลา 18.30 น. ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน
- วันที่ 21 พฤศจิกายน 2561 ฟิลิปปินส์ พบ ไทย เวลา 18.30 น. ณ สนามปานาอัด สเตเดียม
- วันที่ 25 พฤศจิกายน 2561 ไทย พบ สิงคโปร์ เวลา 19.00 น. ณ สนามราชมังคลากีฬาสถาน
ภาพ: Bongdanet.vn / stadiumastro / FOX Sports Indonesia / Qatar Football Association / Foo Tee Fok-SportSG / Goal Thailand / Foxsportsasia / Aff Suzuki cup
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: