แค่เพียงได้เห็นภาพของเขาขึ้นมา คำถามและความรู้สึกมากมายก็เกิดขึ้นตามมาด้วย
หากวันนี้ “มิรินญา” ยังมีชีวิตและลมหายใจอยู่
อาเดรียโน และเท้าซ้ายพลังช้างสารของเขาจะถูกเราทุกคนจดจำในแบบไหน? บางทีประวัติศาสตร์ลูกหนังอาจจะพลิกโฉมไปจากสิ่งที่เราเห็นและเป็นอยู่ไปอีกด้านเลยก็ได้
เพราะนี่คือนักฟุตบอลที่ฟ้าประทานพรทุกอย่างมาให้ไม่ได้น้อยไปกว่า “โอ เฟโนเมโน” โรนัลโด หรือ “โอ โจโก โบนิโต” โรนัลดินโญ ที่ครั้งหนึ่งเคยสะกดเกมฟุตบอลไว้ด้วยฝ่าเท้าของตัวเอง
นักเตะผู้ได้รับสมญานามอันยิ่งใหญ่ “L’ Imperatore” จักรพรรดิลูกหนังผู้ยิ่งใหญ่
แต่กลายเป็นนักฟุตบอลที่มีเรื่องราวน่าเสียดายที่สุดคนหนึ่งตลอดกาล
ย้อนกลับไปไม่กี่วันก่อนหน้านี้ผมได้เห็นภาพถ่ายของอดีตนักเตะคนหนึ่งที่เคยโด่งดังในช่วงยุคมิลเลนเนียมที่หลายคนน่าจะรู้จักเป็นอย่างดี และสำหรับบางคนอาจจะเป็นฮีโร่ในดวงใจ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีคนเคยฝากความหวังเอาไว้ที่เขาเวลาเล่นเกมฟุตบอลกันบ้าง
ใครบ้างจะไม่รักเท้าซ้ายที่ไม่มีใครหยุดได้ของอาเดรียโน? นักฟุตบอลเจ้าของที่มีค่าพลังในเรื่องของความเร็ว การยิง และพลังเต็มหลอดที่แทบไม่ต่างอะไรจาก “ตัวอีดีต” ที่ขอแค่ส่งบอลมาถึงเท้าเท่านั้นแหละ ที่เหลือก็แค่ลากพาบอลไปเรื่อยๆ แล้วกดปุ่มยิงค้างไว้ให้ได้จังหวะก็พอ
บอลก็จะพุ่งเสียบสามเหลี่ยมกระทบตาข่ายแทบขาดเอง
ในชีวิตจริงของอาเดรียโนก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากในเกมเลยครับ เขาเป็นกองหน้าบราซิลที่เล่นไม่ได้แตกต่างอะไรจากเวลาที่หลายคนบังคับตัวละครของเขาเล่นในเกมเลย ด้วยความเร็วที่เหมือนปีศาจ พลังและความแข็งแกร่งที่พร้อมจะลากและไถบอลไปโดยไม่มีใครหยุดได้ ก่อนจะสับไกด้วยอีซ้ายที่ทรงพลานุภาพไม่ต่างอะไรจากฟ้าผ่ากลางประตู
ถ้าไปหาดูไฮไลต์การยิงประตูของเขาก็จะพบเห็นลูกยิงเต็มข้ออันหนักหน่วงมากมายเต็มไปหมด แต่ไม่ใช่ว่าเขาทำประตูได้แค่แบบเดียว การเลือกยิงบังคับทิศทางก็ทำได้อย่างสุดยอดไม่แพ้กัน
ในช่วงเวลาหนึ่งอาเดรียโน ถูกคาดหมายว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นตัวแทนของโรนัลโด ที่เริ่มโรยราหลังการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2002
และนั่นหมายถึงการเป็นนักฟุตบอลอันดับหนึ่งของโลก
เรา “เชื่อ” กันแบบนั้นจริงๆ ครับ
แต่แล้วความหวังทุกอย่างก็ค่อยๆ มลายหายไป หลังการจากไปอย่างกระทันหันของ “มิรินญา” พ่อของเขาในปี 2004
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชื่อของอาเดรียโน ก็หมองหม่นลงเรื่อยๆ กลายเป็นนักเตะที่ถูกบอกว่าไร้ความรับผิดชอบ ใช้ชีวิตเละเทะ และสุดท้ายเรื่องราวจบลงด้วยการ “หนี” ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในช่วงชีวิตที่ควรจะเดินทางไปสู่จุดสูงสุดของการเป็นนักฟุตบอล เพื่อกลับไปใช้ชีวิตในบ้านเกิดที่บราซิล
ใน “ฟาเวลา” ที่แสนอันตรายและไม่น่าอภิรมย์จากสายตาของโลกภายนอก
เรื่องนี้เป็นหนึ่งในปริศนาลูกหนังที่ยากจะเข้าใจ
อาเดรียโนเองดูเหมือนจะรู้ว่าคนคิดกับเขาอย่างไร และเคยพยายามออกมาสื่อสารเพื่อลบล้างความเข้าใจผิดนั้นผ่านการบอกเล่าเรื่องราวตัวเองให้แก่ “The Players’ Tribune” สื่อกีฬาที่เป็นตัวแทนของนักกีฬา
“O Adriano Tem Uma História Para Contar” หรือ “อาเดรียโนมีเรื่องที่อยากเล่า” เป็นบทความที่ถูกเผยแพร่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2021 หรือ 5 ปีนับตั้งแต่วันที่เขาประกาศเลิกเล่นฟุตบอลอย่างเป็นทางการ ซึ่งเรื่องราวเปิดฉากด้วยคำถามจากโลกภายนอกที่พูดถึงตัวเขากัน
“พวกเขาบอกว่าผมหายตัวไปบ้าง บอกว่าผมทิ้งเงินหลายล้านบ้าง บอกว่าผมติดยาบ้าง”
ความจริงนั้นไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย
ในเรื่องเล่าขนาดยาวที่ต้องใช้เวลามากพอสมควรที่จะอ่านและทำความเข้าใจ เราสามารถสรุปใจความสำคัญของเรื่องราวเอาไว้ได้แบบง่ายๆ ที่จะไขปริศนาที่โลกลูกหนังไม่เคยเข้าใจ
สิ่งที่ทำให้อดีตซูเปอร์สตาร์ของวงการฟุตบอล ที่เคยสร้างปรากฏการณ์โดยเฉพาะในช่วงที่อยู่ในสีเสื้อของทีมอินเตอร์ มิลาน กับเจ้าของสถิติ 74 ประตูจากการลงสนาม 177 นัด และอีก 27 ประตูในสีเสื้อ “กานารินญา” บราซิล ตัดสินใจที่จะทิ้งทุกอย่างเพื่อกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของตัวเองนั้นเกิดจากความอ่อนแอ
ไม่ใช่ความอ่อนแอทางร่างกาย แต่เป็นหัวใจที่เปราะบางจนเกินไป จนไม่สามารถที่จะรับมือกับความจริงที่ยากจะทำใจได้
จุดเปลี่ยนชีวิตของอาเดรียโนเกิดขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคม 2004 – 9 วันหลังจากที่เขาเพิ่งยิงประตูสำคัญช่วยให้บราซิลไล่ตามตีเสมออาร์เจนตินาได้ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลรายการโคปา อเมริกา ซึ่งมีความหมายและความสำคัญอย่างยิ่งต่อชาวละติน ก่อนที่ทีมแซมบ้าจะเอาชนะได้ในช่วงของการดวลจุดโทษ
ในช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของชีวิตนั้น จู่ๆ อาเดรียโนก็ได้รับสายโทรศัพท์จากทางบ้าน
“พ่อเสียแล้วนะ”
อาเดรียโน ที่ฟังอยู่ปลายสายแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน พ่อผู้เป็นคนสอนให้เขารักฟุตบอลจู่ๆ ก็จากกันไปโดยไม่ทันและไม่มีวันได้เอ่ยคำล่ำลา
วินาทีนั้นเองที่กองหน้าผู้แข็งแกร่งดุดันเหมือนสัตว์ป่าคนนี้ได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงไม่ต่างอะไรจากแก้วที่ถูกทำให้ตกหล่นและแตกเป็นเสี่ยงๆ
“หลังจากวันนั้น ความรักของผมที่มีต่อเกมฟุตบอลก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลย”
ความจริงแล้วทุกคนต่างก็ต้องเผชิญกับความสูญเสียด้วยกันทั้งนั้น แต่สำหรับอาเดรียโน การจากไปของพ่อ – ที่ทุกคนเรียกกันว่า “มิรินญา” ชายผู้มีชื่อเสียงแห่งวิลา ครูไซโร – ทำให้เขาเสียศูนย์ และเหมือนอยู่ในสุญญากาศ
เพราะสำหรับอาเดรียโน พ่อคือหนึ่งในคนที่สำคัญที่สุดของชีวิต ถ้าไม่มีพ่อก็ไม่มีอาเดรียโนเหมือนกัน
ความผูกพันระหว่างทั้งสองนั้นลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณ การที่จู่ๆ วันนึงมิรินญาก็หายไปไม่ต่างอะไรจากการฉีกเอาวิญญญาณอีกครึ่งของอาเดรียโนไปด้วย
เขาไม่รู้จะรับมือกับความสูญเสียครั้งนี้อย่างไร มันมากเกินไปสำหรับเด็กหนุ่มจากฟาเวลา ที่จู่ๆ โชคชะตาก็ส่งให้เขาทะยานขึ้นฟ้ากลายเป็นดวงดาราของวงการฟุตบอล ไม่เฉพาะแค่ในบราซิล แต่ในอิตาลีบนแผ่นดินยุโรปที่ไกลแสนไกลทุกคนต่างก็เชิดชูลูกชายของมิรินญาคนนี้
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชีวิตของอาเดรียโนเหมือนจมอยู่ในความมืดมนอนธการ แม้ว่าจะยังพยายามกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติ ลงฝึกซ้อม ลงเล่น แต่รอยแผลใหญ่กลางหัวใจของเขามันไม่มีวันที่จะรักษาได้หาย
ยิ่งอยู่ไกลบ้านมากเท่าไร หัวใจของเขาก็หดลงทุกวัน
อาเดรียโน เล่าว่าในคืนวันคริสต์มาสของปีหนึ่ง เขานอนจับเจ่าอยู่ที่บ้านคนเดียว แม้ว่าคลาเรน ซีดอร์ฟ รุ่นพี่ในทีมจะชวนออกมาดื่มกินสังสรรค์ด้วยกันที่บ้าน แต่สุดท้ายนั่นก็ไม่ใช่ “บ้าน” ของเขาอยู่ดี
บ้านของเขาอยู่ที่วิลา ครูไซโร ฟาเวลาแห่งหนึ่งชานเมืองริโอ ที่ซึ่งสมาชิกครอบครัว – ที่ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่คนในครอบครัวแต่หมายถึงญาติสนิทและมิตรสหายหลายสิบคน – กำลังรวมตัวกันปาร์ตี้ฉลองวันคริสต์มาสกัน
“ลูกรัก เป็นอย่างไรบ้าง” เสียงอบอุ่นจากปลายสายโทรเข้ามาหา อาเดรียโนได้ฟังแล้วหัวใจอุ่นขึ้นนิดหน่อย “ผมสบายดีครับแม่ ผมเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงที่บ้านของเพื่อนเอง”
แต่ทันทีที่เขาได้ยินเสียงกลองและการร้องรำทำเพลงของทุกคนที่หลุดมาตามสายด้วย หัวใจของอาเดรียโนก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ จนไม่เหลือชิ้นดี
ก่อนที่จะสะกดความรู้สึกไว้ไม่ไหว อาเดรียโนบอกรักและบอกลาแม่ ผู้ที่หาเลี้ยงดูเขาอย่างยากลำบากเพราะมิรินญา ไม่สามารถทำงานได้จากอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดเมื่อโดนลูกหลงจากเหตุปะทะกันจนกระสุนฝังอยู่ในหัว
อาเดรียโนคิดถึงแม่ คิดถึงพ่อ คิดถึงคุณย่า ผู้กระเตงพาเขาไปฝึกซ้อมทุกวันกับทีมฟลาเมงโก
และทุกคนที่นั่น
คืนนั้นเขาดื่มว็อดก้าคนเดียวจนหมดขวดก่อนจะฟุบหลับอยู่บนโซฟาคนเดียว
ความคิดถึงบ้านและการไม่สามารถรับมือกับความสูญเสียทำลายชีวิตของอาเดรียโนอย่างร้ายกาจ
หลังคืนค่ำที่ต้องดื่มด่ำกับความเหงาและเดียวดาย อาเดรียโนไม่เคยฉลองคริสต์มาสคนเดียวอีกเลย เขาจะหาโอกาสเดินทางกลับบ้านเพื่อไปใช้เวลากับทุกคนเสมอ และการกลับบ้านของเขาก็เริ่มบ่อยขึ้น บ่อยขึ้นบ่อยขึ้นเรื่อยๆ
บางครั้งเขาหายตัวไปเป็นระยะเวลานาน จนเริ่มมีกระแสข่าวลือว่าอาเดรียโน ถูกลักพาตัวบ้าง ไปติดยาอยู่ในฟาเวลาบ้าง หรือติดเหล้าติดผู้หญิงบ้าง ถึงขั้นมีการติดต่อให้ตำรวจในเมืองริโอพยายามปูพรมค้นหาตัวกันก็มี
แต่ไม่มีวันที่ใครจะพบเจอเขาได้ หากไม่ได้รับอนุญาตจากคนในฟาเวลา ที่พร้อมจะปกป้องคนในครอบครัวด้วยชีวิต
ความประพฤติของอาเดรียโน ทำให้สื่อตั้งคำถามถึงการทำตัวไม่สมกับเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่แบกรับความคาดหวังของแฟนฟุตบอลจำนวน
มหาศาล แต่อย่างน้อยบนโลกใบนี้ก็มีคนที่เข้าใจเขาบ้าง และคนที่เข้าใจมากที่สุดคือมัสซิโม โมรัตติ ประธานสโมสรอินเตอร์ มิลาน คนที่เป็นคนเซ็นเช็คจ่ายเงินมหาศาลในแต่ละเดือนให้กับนักเตะคนนี้
โมรัตติรู้และเข้าใจในสิ่งที่อาเดรียโนเผชิญอยู่ และเจ้าตัวจะพยายามที่จะปรับตัวให้ดีขึ้น พยายามต่อรองหาจุดตรงกลางร่วมกับโค้ชทุกคนที่ได้ร่วมงาน แต่ไม่มีอะไรที่ช่วยให้สิ่งต่างๆ มันดีขึ้นได้เลย
ในฤดูหนาวของเดือนธันวาคม 2009 อาเดรียโนขออนุญาตโชเซ มูรินโญ บอสใหญ่ในเวลานั้นของทีมในการเดินทางกลับบ้านเกิดอีกครั้ง
“นายกลับไปครั้งนี้แล้วจะไม่กลับมาอีกแล้วใช่ไหม” มูรินโญถามอย่างตรงไปตรงตรงมา “เจ้านายรู้คำตอบอยู่แล้วนี่”
สุดท้ายอาเดรียโน ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะบอกลาอินเตอร์โดยได้รับการอนุญาตจากโมรัตติที่ไม่ติดใจอะไรทั้งสิ้น เพราะให้ความสำคัญของ “ความเป็นมนุษย์” ของอาเดรียโนมากกว่าเรื่องอื่น และนี่คือเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดที่ไม่ได้ระบุเอาไว้ในสัญญาระหว่างเขากับสโมสร
เรื่องราวหลังจากนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนอาจจะไม่รู้ หรือหากรู้บ้างก็อาจจะแค่ผิวเผิน
อาเดรียโน ยังคงมีปัญหาทางใจอยู่เหมือนเดิมแม้ว่าจะกลับมาเล่นในบ้านเกิดแล้ว แต่อย่างน้อยเขาก็มีช่วงเวลาที่ดีกับฟลาเมงโก สโมสรรักแรกในดวงใจที่เขามีส่วนสำคัญในการช่วยพาทีมคว้าแชมป์สูงสุดได้เป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี
มันเป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกับการจะบอกว่าเขากลับมาค้นพบความสุขอีกครั้งในชีวิตการเป็นนักฟุตบอล
และอาจจะเป็นความสุขครั้งสุดท้ายด้วย
เพราะหลังจากนั้นอาเดรียโนโชคร้ายได้รับบาดเจ็บรุนแรงเอ็นร้อยหวายฉีกขาด อาการที่เจ้าตัวรู้ได้ในทันทีว่าสำหรับเขา ชีวิตการเป็นนักฟุตบอลได้จบสิ้นลงไปแล้ว
บาดแผลใหญ่นี้ทำให้เขาสูญเสียการระเบิดพลังในชั่วพริบตาที่เป็นพรจากฟ้า สูญเสียความเร็ว และแม้แต่สูญเสียในเรื่องของการทรงตัวที่ไม่มีการฝึกฝนใดๆ จะช่วยทำให้เขากลับมาเป็นคนเดิม ต่อให้ผ่านการลงมีดจากหมอที่เก่งขนาดไหนก็ตาม
อาเดรียโน ยังคงอยู่ในวงการต่ออีกระยะก่อนจะตัดสินใจปิดฉากการเป็นนักฟุตบอลอย่างเป็นทางการในปี 2016 และเก็บตัวอยู่ในความเงียบ
เงียบเสียจนเคยมีข่าวลือว่าเขาตายแล้ว จนต้องออกมาแก้ข่าวเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต
แต่ท่ามกลางความเสียดายของแฟนฟุตบอลมากมายที่เชื่อว่าอาเดรียโน คือพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่ที่ถูกทิ้งขว้างอย่างไม่ควรจะเป็น กับคำถามและเรื่องราวซุบซิบมากมาย
ภาพ: adrianoimperador / instagram
อาเดรียโน กลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่ฟาเวลา ซึ่งยังคงเป็น “บ้าน” ของเขาเสมอ
ที่นี่มีสนามฟุตบอล มีเพื่อน มีครอบครัวที่ทำให้เขาสามารถเป็นตัวของตัวเอง ได้รับการยอมรับและความเคารพ สนุกไปกับการเล่นไปเรื่อย ร้องรำทำเพลงด้วยลำโพงตัวเขื่องที่ขับกล่อมฟาเวลาให้ตื่นตัวและคึกคักเสมอ
สำคัญที่สุดคือ “อิสระ” ที่ไม่สามารถหาที่ไหนได้อีก
อย่าห่วงเรื่องอิสตรีหรือยาเสพติดเลย มิรินญาสอนเขามาดีมากพอที่จะไม่ให้แตะต้องกับของแบบนี้ อย่าว่าอย่างนั้นเลยแค่เหล้าเบียร์มิรินญา ผู้เคยสูญเสียพ่อของตัวเองเพราะเป็นคนดื่มหนัก ก็ห้ามปรามไม่ให้เด็กๆ ในฟาเวลาแตะต้องของมึนเมาแล้ว
อาเดรียโน ผู้เคยขนพองสยองเกล้าเพราะริดื่มเบียร์แก้วแรกในชีวิตตอนอายุ 14 แล้วพ่อเห็นจนบรรยากาศมาคุในงานฉลอง ตอนนี้เขาโตพอที่จะดื่มได้และดื่มได้หนักด้วยแต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรือน่าเป็นห่วงจนเกินไป
เขามีความสุขดีและเข้มแข็งขึ้นอย่างช้าๆ
หนึ่งในสิ่งที่สะท้อนเรื่องนี้คือการตัดสินใจที่จะจัดการแข่งขันนัดอำลาชีวิตการเล่นของตัวเองอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคมปีกลาย 8 ปีหลังการตัดสินใจแขวนสตั๊ด ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในวันที่น่าจดจำของโลกลูกหนัง
จักรพรรดิผู้น่าเสียดายกลับมาวาดลวดลายอยู่ในสนามอีกครั้ง
เคียงข้างเพื่อนๆ ผู้เป็นที่รัก และแฟนบอลที่คิดถึงเขาอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะเคยฟังเรื่องราวของอาเดรียโนมาแบบไหน และไม่ว่าจะเข้าใจกับเรื่องราวและการตัดสินใจในชีวิตของคนที่แตกต่างกันหรือไม่
อย่าเสียดายกับอาเดรียโนเลย
เขาค้นพบความสงบในชีวิตแล้ว ในฟาเวลาที่อาจจะดูไม่น่าอภิรมย์สำหรับคนนอก
แต่ที่แห่งนั้นในทุกขั้นบันไดมีความรักและความทรงจำซ่อนอยู่
มิรินญาเคยอยู่ตรงนี้
อาเดรียโนจึงอยู่ตรงนี้