×

เมื่อมีจุดหมายที่ตั้งใจ และรู้จักที่จะ Make Your Mark ย่อมไปถึงฝันนั้นได้สำเร็จ 3 นักสร้างสรรค์คนรุ่นใหม่ กับตัวช่วยที่ไปให้ถึงจุดหมาย [Advertorial]

โดย THE STANDARD TEAM
15.07.2019
  • LOADING...
acer-swift-5

HIGHLIGHTS

10 Mins. Read
  • 3 นักสร้างสรรค์คนรุ่นใหม่ที่ THE STANDARD ได้มีโอกาสพูดคุยด้วย กับเรื่องราวแห่งแรงบันดาลใจและความสำเร็จ พวกเขามีวิธี ‘Make Your Mark’ ตั้งเป้าหมายและวางแผนเดินทาง เพื่อไปให้ถึงความฝันและความสำเร็จได้อย่างไร 
  • ฐกร วรรณวงษ์ ครีเอทีฟไดเรกเตอร์แบรนด์ TAKARAWONG กับเป้าหมายการสร้างแบรนด์แฟชั่น, ชนิกานต์ กาญจน์ก่อกุล เจ้าของแบรนด์รองเท้า Mustard Sneakers กับการสร้างแบรนด์สนีกเกอร์ของคนไทยที่ได้รับการยอมรับและกำลังมาแรง, พรรษมน พิริยะเมธา เจ้าของเพจ PATSAMON eat well, travel with style กับความฝันในการเป็นไลฟ์สไตล์บล็อกเกอร์ และบทบาทใหม่เมื่อเธอกำลังก่อร่างธุรกิจให้บริการรถลีมูซีน

ความสำเร็จนั้นไม่ไกลจนเกินเอื้อม หากเรารู้จักจุดที่ตัวเองยืนอยู่ว่าเป็นที่ใด แล้วตั้งเป้าหมาย พร้อมหาหนทางเดินไปให้ถึง สำหรับคนแต่ละคนนั้นอาจมีทั้งเป้าหมายและวิธีการเพื่อที่จะไปให้ถึงฝัน ด้วยหนทางที่แตกต่างกันออกไป หากเพียงแต่คุณรู้จักที่จะ ‘Make Your Mark’ ก็ย่อมที่จะเดินไปได้ถึงความสำเร็จนั้นในสักวันได้อย่างแน่นอน 

 

ดังเช่น 3 นักสร้างสรรค์คนรุ่นใหม่ที่ THE STANDARD ได้มีโอกาสพูดคุยด้วยในครั้งนี้ พวกเขาทั้งสามคนล้วนเป็นทั้งนักสร้างสรรค์และคนทำธุรกิจผู้รู้จักการตั้งเป้าหมาย และหาหนทางเพื่อไปให้ถึงความฝันของตัวเองได้จนสำเร็จ แน่นอนว่าพวกเขามีเคล็ดลับแห่งความสำเร็จมาแชร์ให้พวกเราได้ฟังกันด้วย แต่ละคนจะมีเรื่องราวที่น่าสนใจและแรงบันดาลใจดีๆ อะไรมาแบ่งปันให้เราได้ฟังกันบ้าง ลองมาติดตามเรื่องราวไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่า 

 

acer-swift-5

เมื่อเป้าหมายคือการสร้างแบรนด์แฟชั่น 

ฐกร วรรณวงษ์ ครีเอทีฟไดเรกเตอร์แบรนด์ TAKARAWONG

 

เพียงไม่ถึง 4 ปีที่เปิดตัว TAKARAWONG ลักชัวรีสตรีทแฟชั่นแบรนด์สัญชาติไทย ก็เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว ด้วยความโดดเด่นทั้งในแง่ของคอนเซปต์และการออกแบบ จึงได้รับการยอมรับในเวลาอันสั้น ล่าสุดเขากำลังปลุกปั้นแบรนด์สตรีทน้องใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจอย่าง TKW ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าเป็น ‘แบรนด์น้องชาย’ ของ TAKARAWONG นั่นแสดงให้เห็นว่า ธุรกิจที่เขาเริ่มต้นขึ้นเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านั้นประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจอยู่พอสมควร จึงได้มีการแตกไลน์ใหม่ออกมา 

 

กว่าจะมาถึงวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แชมป์-ฐกร วรรณวงษ์ เล่าย้อนอดีตให้เราฟังว่า เริ่มแรกเขาไม่ได้เรียนจบมาทางด้านการออกแบบเสื้อผ้าหรือแฟชั่นโดยตรง หากหลังจากที่เรียนจบทางด้าน Creative Marketing แล้ว ก็ได้มีโอกาสไปเรียนทำขนมและใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวที่ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย จนค้นพบและตกผลึกกับตัวเองว่า เขาหลงใหลและอยากอุทิศชีวิตให้กับทำแบรนด์เสื้อผ้า เมื่ออดีต Patisserie Chef คนนี้ตั้งเป้าหมายให้กับตนเอง ดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจขายกิจการร้าน รวมไปถึงสมบัติส่วนตัวบางชิ้น เพื่อเปลี่ยนมาเป็นเงินทุนสำหรับการสร้างแบรนด์ของตัวเองขึ้นมา

 

“แม้จะต้องเริ่มต้นจากศูนย์ เพราะว่าตัวผมเองไม่ได้เรียนแฟชั่นมาก่อน แต่ตอนนั้นก็มีความเชื่อมั่นในตัวเองว่าเราต้องทำได้ ผมเชื่อว่า ถ้าหากเราตั้งใจที่จะลงมือทำอย่างจริงจัง สิ่งนั้นก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จ ผมกลับมาเมืองไทย และเริ่มต้นทำแบรนด์เมื่อปี 2015 และเปิดคอลเล็กชันแรกจริงๆ ตอนปี 2016 ก็ทำ TAKARAWONG อย่างเดียวมาโดยตลอด 

 

“จนเมื่อมาปีที่แล้วก็เริ่มทำอีกแบรนด์ออกมาชื่อ TKW ซึ่งจะดูเด็กลง และซื้อง่ายขายคล่อง เป็นแบรนด์ที่จับต้องง่ายขึ้น คือในขณะที่ TAKARAWONG นั้นเป็นไฮเอนด์สตรีทลักชัวรี TKW ซึ่งเป็น ‘แบรนด์น้องชาย’ ก็จะเป็นสตรีทแวร์ที่ใส่ง่ายและราคาจับต้องได้ง่ายขึ้นครับ

 

“ในเรื่องของการดูแลธุรกิจและการสร้างสรรค์ผลงานนั้น สำหรับผมคิดว่า บาลานซ์กันได้ค่อนข้างยากเหมือนกัน เพราะโดยส่วนตัวแล้ว แต่ก่อนผมก็เป็นคนที่ไม่รู้เรื่องและไม่ได้สนใจด้านธุรกิจมาก่อนเลย แม้จะเรียนจบทางด้านมาร์เก็ตติ้งมา แต่ก็ไม่ได้ชอบสักเท่าไร 

 

“โดยธรรมชาติแล้วผมชอบงานครีเอทีฟมากกว่า แต่ก็อย่างที่เขาว่ากันว่า เมื่อไรที่เราใช้ความคิดสร้างสรรค์มากกว่ามุมของธุรกิจ มันก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ ผมจึงใช้วิธีแบ่งตัวเองออกเป็น 2 ด้าน คือเมื่อไรที่ผมทำงานสร้างสรรค์ ก็จะลืมเรื่องของธุรกิจไปเลย เพื่อจะได้โฟกัสการทำงานสร้างสรรค์ออกมาได้อย่างเต็มที่ เพราะเมื่อไรที่เราทำงานสร้างสรรค์แล้วปิดกั้นตัวเองด้วยการมัวแต่คิดว่าจะขายได้ไหม ก็เป็นการปิดกั้นตัวเอง ดังนั้นเวลาทำงานก็จะลืมตรงนั้นไป

 

“แต่เมื่อทำงานในส่วนครีเอทีฟจบปุ๊บ ผมก็จะหันมาทำในเรื่องของธุรกิจ โดยดูจากสิ่งที่เรามีว่าเราจะขายอย่างไร หรือบางทีก็คิดแคมเปญต่างๆ มาก่อน แล้วค่อยทำงานสร้างสรรค์ แบบนี้ก็มีบ้างเหมือนกันครับ อย่างไรก็ตาม เราต้องลงมือทำ แล้วเมื่อทำไปแล้วก็จะหาจุดที่บาลานซ์ของทั้งสองอย่างได้จนพบ” 

 

เมื่อถามถึงจุดหมายและการตั้งเป้าหมาย คุณแชมป์กล่าวว่า โดยส่วนตัวเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยพอใจกับอะไรง่ายๆ 

 

“คือผมไม่เคยจะตั้งเป้าหมายเอาไว้ไกลๆ เวลาคิดจะทำอะไรมักจะทำให้สำเร็จในเป้าหมายเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยเขยิบไปทีละขั้น ส่วนใหญ่จึงมักจะตั้งเป้าหมายระยะสั้นมากกว่า เพื่อไม่กดดันตัวเองมากจนเกินไป เราจะพยายามตั้งเป้าหมายที่เป็นจริง แล้วทำทีละขั้น เขยิบสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งผมว่าการทำแบบนี้สนุกกว่าที่จะตั้งเป้าหมายระยะยาว แล้วกดดันให้ตัวเองไม่มีความสุข 

 

“ถ้าถามว่าตอนนี้ประสบความสำเร็จหรือยัง ก็น่าจะในระดับหนึ่งแล้วครับ แต่ก็อย่างที่บอกว่าเราเองก็ตั้งเป้าหมายขยับขึ้นไปเรื่อยๆ จากแต่เดิมที่ขายในประเทศไทยอย่างเดียวในปีแรกที่เปิดตัว เมื่อได้รับการตอบรับที่ดี ปีถัดมาผมจึงเริ่มทำอีคอมเมิร์ซ ซึ่งแม้เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ประเทศไทยจะไม่ได้ใช้จ่ายผ่านตรงนี้นัก แต่เราก็เห็นว่ามันเป็นโอกาสที่จะทำให้สินค้าของเราขายได้ทั่วโลก จึงตัดสินใจทำขึ้นมา ทำให้ตอนนี้ขยับไปขายที่เมืองนอกได้แล้ว มีจำหน่ายที่เกาหลีและนิวยอร์ก

 

“คือเหมือนกับว่าเราก็ค่อยๆ สนุกกับมัน สนุกในสิ่งที่ทำ ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าประสบความสำเร็จอะไร ทุกวันนี้ก็ทำอะไรใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ ครับ อย่างในปี 2019 ผมมีเป้าหมายว่าอยากจะให้มีร้านมัลติสโตร์ที่ฝั่งยุโรปซื้อสินค้าของเราไป เพราะว่ามีลูกค้าทางฝั่งอเมริกาแล้ว แต่ยังไม่มีจากทางยุโรป ซึ่งตอนนี้เสื้อผ้าคอลเล็กชันใหม่ Spring/Summer 2020 ก็อยู่ที่โชว์รูมที่ฝรั่งเศสอยู่ ก็กำลังลุ้นอยู่ว่าจะทำได้หรือเปล่า แต่ก็คิดไว้ว่าเราน่าจะต้องทำการตลาดต่างประเทศให้มากกว่าเดิม” 

 

เมื่อถามถึงตัวช่วยในชีวิตและการทำงานที่ทำให้ไปถึงจุดหมายได้ คุณแชมป์บอกว่า ในฐานะที่เขาเป็นทั้งเจ้าของแบรนด์และครีเอทีฟไดเรกเตอร์ การใช้คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปช่วยได้มาก จากแต่เดิมที่เป็นคนโลว์เทคโนโลยีมาโดยตลอด แต่หลังจากที่เปิดใจยอมรับและทดลองสิ่งใหม่ๆ ก็พบว่า ช่วยให้ชีวิตและการทำงานของเขาสะดวกขึ้นอย่างมาก

 

“เริ่มแรกเลย ผมเป็นคนใช้คอมพิวเตอร์ไม่ค่อยเก่ง เราเป็นคนโลว์เทคฯ มาก ตั้งแต่สมัยเรียนเป็นคนที่ใช้สมุดจด พอมาทำงานดีไซน์ก็ใช้สมุดกับดินสอ โดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์เลย ช่วงแรกที่ทำแบรนด์ก็ยังทำแบบนี้อยู่ แต่เมื่อเราต้องทำงานร่วมกับคนอื่น ก็ทำอย่างนั้นอย่างเดียวไม่ค่อยได้แล้ว เมื่อมีผู้ช่วยจึงเริ่มให้เขาเอาดีไซน์ที่ผมทำไว้ไปทำต่อในคอมพิวเตอร์ ก็พบว่าช่วยให้การทำงานของเราสะดวกขึ้นมาก ในที่สุดจึงตัดสินใจว่า เราต้องเรียนรู้การใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างจริงจังแล้ว

 

acer-swift-5

 

“ยิ่งได้รู้จัก Acer Spin 5 ก็พบว่า มันไม่ต่างอะไรจากสมุดที่ผมเคยใช้เลยครับ เพราะใช้งานง่ายมาก ช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับเราได้อย่างมากมาย ด้วยเพราะมี Acer Active Stylus ที่ช่วยให้จดไอเดียดีไซน์ได้สะดวกขึ้น ซึ่งมันก็เหมือนกับการใช้สมุดที่เราเคยใช้นั่นแหละ คือผมสามารถเขียนหรือวาดอะไรลงไปได้ลื่นพอๆ กัน 

 

“อีกอย่างถึงเวลาวาดงานก็ไม่ต้องใช้เวลาลบร่างดินสอเหมือนกับที่เราวาดในสมุด และเราก็สามารถเซฟเก็บไว้ได้อีกหลายดราฟต์ แล้วนำไปเพิ่มเติมรายละเอียด ทำเพิ่มเป็นหลายๆ แบบ ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกในการทำงานได้เป็นอย่างมาก

 

“ฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ ก็ไม่ได้ซับซ้อน ขนาดที่คนโลว์เทคโนโลยีอย่างผมยังใช้งานได้สะดวก แถมยังมีเป็นไฟล์ให้เราเก็บไว้ได้โดยไม่ต้องพกสมุดเยอะๆ นอกจากนี้ฟังก์ชันหน้าจอพับของ Acer Spin 5 ยังสะดวกมาก เพราะสามารถพับตั้งเป็นจอเวลาประชุมพรีเซนต์งานกับทีมงานหรือลูกค้าได้อีกด้วยครับ เลยรู้สึกว่าเทคโนโลยีตรงนี้น่าจะสามารถเข้ามาช่วยตอบโจทย์คนที่ทำงานในลักษณะคล้ายๆ กับผมได้เป็นอย่างดี” 

 

acer-swift-5

สร้างแบรนด์สนีกเกอร์ของคนไทย

ชนิกานต์ กาญจน์ก่อกุล เจ้าของแบรนด์รองเท้า Mustard Sneakers

 

Mustard Sneakers คือแบรนด์สนีกเกอร์ที่เปิดตัวขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยเริ่มแรกนั้นเป็นเพียงธุรกิจเล็กๆ ที่จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์เท่านั้น หากด้วยดีไซน์ที่สวยแบบมินิมัล และทางแบรนด์ให้ความสำคัญกับวิชวลเอามากๆ จึงได้รับความสนใจ ยิ่งเมื่อลูกค้าได้ลองสวมจริงก็พบว่าใส่สบาย ด้วยคุณภาพและดีไซน์ที่เรียบง่าย ทว่าสวยงาม ยิ่งทำให้หลายคนรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่า Mustard Sneakers เป็นแบรนด์ของคนไทย 

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้คนไทยอย่างเรารู้สึกภูมิใจมากว่า เราเองก็มีแบรนด์สนีกเกอร์ดีๆ กับเขาเหมือนกัน และนี่เองที่เป็นความฝันของ นิด้า-ชนิกานต์ กาญจน์ก่อกุล เธอเล่าถึงเรื่องราวการก่อร่างสร้างฝันให้เราฟังว่า 

 

“การทำแบรนด์ Mustard Sneakers เริ่มจากตัวนิด้าเอง ซึ่งเป็นคนชอบใส่รองเท้าสนีกเกอร์อยู่แล้ว เราเป็นผู้หญิงที่มีไลฟ์สไตล์ค่อนข้างลุย ไม่ชอบใส่รองเท้าส้นสูงเหมือนผู้หญิงทั่วไปสักเท่าไร ตอนที่ตั้งใจจะทำแบรนด์นี้ขึ้นมา นอกจากความชอบแล้วก็เป็นเพราะเราเห็นช่องว่างในตลาดของเมืองไทย ซึ่งยังไม่ค่อยมีสนีกเกอร์ดีๆ ที่เป็นแบรนด์ของคนไทยสักเท่าไร ถ้าเป็นแบรนด์ต่างประเทศที่สวยๆ ก็จะมีราคาแพงไปเลย แต่ถ้าราคาย่อมเยาลงมาหน่อย ก็จะใส่ไม่สบายเท้า เราก็เลยอยากจะทำรองเท้าผ้าใบแบรนด์ของไทยที่ทั้งใส่สบาย ดีไซน์สวย และราคาก็จับต้องได้ด้วย” 

 

ในยุคที่การตลาดต้องพึ่งพาโซเชียลมีเดีย Mustard Sneakers เองก็เช่นกัน ที่เมื่อแรกเปิดตัวขึ้นมาก็เน้นขายผ่านทางออนไลน์ก่อนเป็นหลัก แต่เพื่อให้เกิดความแตกต่างโดดเด่นขึ้นมาจากแบรนด์ออนไลน์อื่นๆ ที่มีอยู่เกลื่อนตลาด สิ่งที่นิด้าโฟกัสและให้ความสำคัญอย่างยิ่ง จึงอยู่ที่การทำแบรนดิ้งด้วยวิชวลที่ลงในอินสตาแกรมและเฟซบุ๊ก ซึ่งเมื่อลูกค้าเห็นรูปที่สวยเตะตา ก็ย่อมจะให้ความรู้สึกสนใจเป็นธรรมดา

 

“นิด้าค่อนข้างจะจริงจังและเรื่องมากกับเรื่องวิชวล จึงลงมือดูแลคุมเองทั้งหมดเลย กว่าจะลงรูป แต่ละโพสต์เราผ่านการคิดและทดลองมาค่อนข้างเยอะ แต่ก็ให้ผลที่คุ้มค่า เพราะมีลูกค้าที่ทดลองซื้อไปใช้แล้วบอกว่า เพราะภาพของเราสวย เมื่อใส่สบายถูกใจจึงเกิดการซื้อซ้ำ”

 

3 ปีผ่านไป นับแต่เริ่มต้นเปิดตัวแบรนด์ Mustard Sneakers เติบโตไปอย่างไรบ้าง  

 

“ในปีแรกเราเริ่มต้นขายทางไลน์ อินสตาแกรม และเฟซบุ๊ก เหมือนกับที่แบรนด์ออนไลน์ทั่วๆ ไปเขาทำกัน พอปีถัดมาก็มีการฝากขายกันในช่องทางต่างๆ จนมาปีนี้ ล่าสุดเราเพิ่งเปิดหน้าร้านช็อปแรกของแบรนด์ที่สยามในโครงการลิโด้ใหม่ ก็พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จากการเป็นแค่แบรนด์ที่ขายอยู่แค่ออนไลน์ นอกจากนี้ก็ยังมีการทำเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ซึ่งก่อนหน้าที่จะทำช่องทางจำหน่ายนี้ นิด้าก็ได้ลองคุยกับหลายๆ คน ซึ่งตอนนั้นเขาก็บอกกันว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช้เว็บไซต์กันนะ แน่ใจแล้วเหรอที่จะลงทุนกับตรงนี้ 

 

“แต่เรามองว่า ไม่อยากจะเป็นแค่แบรนด์ที่ขายเฉพาะในประเทศไทย ในอนาคตเราก็อยากจะเป็นแบรนด์ที่ขายต่างประเทศได้ด้วย จึงตัดสินใจทำเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ แม้ตอนนี้เราจะไม่รับสั่งซื้อผ่านช่องทางอื่นแล้ว ลูกค้าสามารถสั่งซื้อผ่านทางเว็บไซต์ได้อย่างเดียว แต่ก็ไม่ได้เจอปัญหาอะไรเยอะอย่างที่คนอื่นเขาพูดกันนะคะ อาจจะเป็นเพราะว่าเราคิดออกมาอย่างดี ลูกค้าส่วนใหญ่เขาก็จะบอกว่าเว็บเราใช้งานง่าย ไม่ได้ติดอะไร” 

 

ดูเหมือนว่า 3 ปีที่ผ่านมา แบรนด์ Mustard Sneakers จะประสบความสำเร็จและเติบโตขึ้นพอสมควร เมื่อถามถึงเป้าหมายของอนาคตในลำดับต่อไป ว่าอยากจะไปให้ถึงไหน นิด้าตอบว่า

 

“ถ้าเป็นเป้าหมายระยะสั้น เราก็อยากจะให้คนไทยรู้จักแบรนด์ของเรามากขึ้นในกลุ่มที่กว้างขึ้น เวลาเขาอยากจะได้รองเท้าสนีกเกอร์ ก็อยากจะให้นึกถึงแบรนด์ของเรา ส่วนเป้าหมายในอนาคตระยะยาว ก็อยากจะทำการตลาดเพื่อให้สามารถขายในต่างประเทศได้ด้วย ประเทศที่มองไว้ก็จะเป็นใกล้ๆ แถบเอเชียก่อน โดยเฉพาะในญี่ปุ่น แล้วก็อยากจะขยายไปออสเตรเลียและยุโรป ซึ่งเรามองว่าน่าจะเป็นไปได้ เพราะสนีกเกอร์เป็นรองเท้าที่คนใส่ในชีวิตประจำวันกันอยู่แล้ว” 

 

ด้วยดีไซน์และคุณภาพของ Mustard Sneakers อีกทั้งความเอาจริงเอาจังที่เห็นในแววตาของนิด้า เราเชื่อว่า เธอน่าจะประสบความสำเร็จขึ้นอีกขั้นตามที่หวังเอาไว้ได้ไม่ยาก ว่าแต่ว่าเจ้าของแบรนด์สนีกเกอร์สาวสวยคนนี้จะมีตัวช่วยอะไรที่ทำให้เธอเดินไปถึงเป้าหมายที่ตั้งใจเอาไว้หรือเปล่า

 

acer-swift-5

 

“โดยส่วนตัว นิด้าใช้คอมพิวเตอร์ทุกวันอยู่แล้ว และพกพาไปด้วยทุกที่ เพราะเรามีงานที่จะต้องทำตลอดเวลา ปัญหาที่มักจะเจอเลยก็คือ เราเป็นคนของเยอะ เพราะต้องออกกำลังกายเป็นประจำด้วย ก็เลยจะมีทั้งกระเป๋าทำงานและกระเป๋าออกกำลังกาย พอได้มาลองใช้ Acer Swift 5 รุ่นนี้ อย่างแรกสุดที่รู้สึกได้เลยก็คือ แม้ว่าจอจะใหญ่ กว้างถึง 15.6 นิ้ว แต่น้ำหนักเบามากๆ ไม่ถึง 1 กิโลกรัม ซึ่งทำให้สะดวกมากเวลาที่จะพกพาไปไหนต่อไหน

 

“อีกอย่างที่ตอบโจทย์ของนิด้ามากคือ หน้าจอกว้าง เวลาที่ทำงานดีไซน์ จึงช่วยให้เห็นรายละเอียดงานได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้เวลาต้องไปประชุมงานด้วยดีไซน์ที่ดูเรียบ สวย ดูดี ก็เหมาะที่จะพกไปพรีเซนต์งาน การเชื่อมต่อ Wi-Fi ก็รวดเร็ว มันช่วยได้เยอะ เพราะนิด้าเป็นคนไม่ชอบทำงานที่ออฟฟิศ เราชอบเปลี่ยนที่ทำงานไปเรื่อยๆ เพื่อให้ได้เห็นโน่นเห็นนี่ที่จะเป็นแรงบันดาลใจ ดังนั้นไม่ว่าจะไปที่ไหน การเชื่อมต่อกับ Wi-Fi ได้อย่างเสถียรจึงสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้เราทำงานได้สะดวกขึ้น” 

 

ความฝันในการเป็น Lifestyle Blogger และก่อร่างธุรกิจ 

พรรษมน พิริยะเมธา เจ้าของเพจ PATSAMON eat well, travel with style และเจ้าของธุรกิจ Prestige Limousine

 

หลังจากที่ช่วยดูแลงานธุรกิจของครอบครัวมาเป็นระยะเวลานานถึง 10 ปี แต่บทใหม่แห่งความท้าทายของชีวิตก็มาถึง เมื่อลักชัวรีไลฟ์สไตล์บล็อกเกอร์สาวชื่อดังที่มีผู้ติดตามหลายหมื่นคนคนอย่าง พัด-พรรษมน พิริยะเมธา ตัดสินใจรีเฟรชชีวิตให้ตัวเอง ด้วยการก้าวออกมาเปิดกิจการของตนเอง 

 

“เมื่อก่อนพัดช่วยดูแลงานธุรกิจของครอบครัว นั่นคือการให้บริการรถลีมูซีนหรือบริการรถเช่าพร้อมคนขับ ซึ่งส่วนมากลูกค้าก็จะใช้สำหรับ Airport Transfer รับส่งสนามบิน แต่ว่าจริงๆ แล้วก็มีบริการอื่นๆ ด้วยคือ Airport Welcome Service คือการให้คนเข้าไปต้อนรับและอำนวยความสะดวกในสนามบิน ซึ่งธุรกิจนี้เป็นธุรกิจของครอบครัว ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก่อตั้งบริษัทนี้มา 20 ปีแล้ว แต่ตัวพัดเองเข้ามาทำงานที่นี่ได้ 10 ปีแล้วค่ะ และเมื่อไม่นานมานี้ พัดเองก็เพิ่งขอแยกออกมาเปิดบริษัทของตัวเอง ซึ่งเป็นธุรกิจในลักษณะเดียวกัน แต่เราก็จะจับลูกค้ากันคนละกลุ่ม โดยใช้ชื่อว่า Prestige Limousine ถือว่าเป็นความท้าทายบทใหม่ของชีวิตพัดเลยก็ว่าได้”

 

คุณพัดเล่าว่า จากเมื่อก่อนที่ช่วยดำเนินการธุรกิจของครอบครัว ซึ่งผู้ใหญ่เริ่มทำมาดี ตัวเธอเองแค่มาช่วยพัฒนางานสานต่อ และช่วยดูแลงานแค่บางส่วน แต่เมื่อมาทำบริษัทเอง ก็ต้องดูแลรับผิดชอบงานในทุกส่วน จากเรื่องที่เคยไม่รู้ ก็จะต้องรู้ อย่างเรื่องบัญชีและตัวเลขที่เธอไม่เคยสนใจ ก็ต้องมาให้ความใส่ใจ แต่นั่นก็ถือเป็นความท้าทายและสนุกที่จะได้เรียนรู้และเติบโต 

 

“จากแต่ก่อนที่ช่วยงานในบริษัทของคุณพ่อคุณแม่ คราวนี้เราต้องรับผิดชอบชีวิตพนักงานของบริษัทที่เราสร้างขึ้นมาเองกับมือ ให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างมั่นคงและดูแลทุกคนในบริษัทได้ นี่ถือว่าเป็นเป้าหมายของพัดในตอนนี้เลยค่ะ” 

 

การเริ่มต้นธุรกิจใหม่นั้นไม่ง่าย แม้จะมีพื้นฐานจากการทำธุรกิจของครอบครัวมาบ้าง แต่ระยะไม่นานที่เปิดบริษัทมา คุณพัดก็พบว่า มีหลายสิ่งที่เธอยังต้องเรียนรู้ แต่เมื่อหญิงสาวคนนี้ตั้งใจจริง ตั้งเป้าหมายเอาไว้แล้ว ก็ต้องทำให้สำเร็จ เช่นเดียวกับบทบาทของการเป็นไลฟ์สไตล์บล็อกเกอร์ ซึ่งเธอเริ่มต้นขึ้นมาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และหากคุณเป็นแฟนที่คอยติดตามเพจของเธอ ก็น่าจะรู้ดีว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นคนจริงเอาจังในการทำบล็อกมาก พิสูจน์ได้จากภาพงามๆ และคอนเทนต์คุณภาพที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งจากผู้ติดตาม แบรนด์สินค้า และการบริการที่คอยให้การสนับสนุน 

 

“ในส่วนของการเป็นบล็อกเกอร์ไลฟ์สไตล์ ก็มาจากการที่พัดเป็นคนชอบท่องเที่ยวอยู่แล้ว เวลาไปเที่ยวเราก็จะชอบวางแผนเป็นอย่างดี ว่าเมื่อไปที่ไหนจะแต่งตัวอย่างไรให้เข้ากับบรรยากาศ เพื่อที่จะได้ถ่ายรูปออกมาสวย และเราก็จริงจังกับเรื่องที่พักและอาหารการกินเอามากๆ ด้วย เวลาไปเที่ยวแล้วลงรูป ก็เลยมักจะมีคนมาถามว่าพักที่ไหน กินที่ไหนดี เลยคิดว่าคงจะดีถ้าเราทำบล็อกขึ้นมา แล้วเขียนเล่าเรื่องราวการเดินทาง เพื่อเวลาที่ใครถามก็จะได้ส่งลิงก์ให้เขา จะได้ไม่ต้องพิมพ์ใหม่ เราเองก็เป็นคนที่ชอบบอกต่อคนอื่นๆ อยู่แล้ว 

 

“ก็รู้สึกว่ามีคนที่สนใจในแนวเดียวกับเราอยู่ไม่น้อย ซึ่งตอนนั้นบล็อกเดินทางท่องเที่ยวส่วนใหญ่เขาจะทำกันในสไตล์ท่องเที่ยวให้อยู่ในงบและเน้นคุ้มค่ามากกว่า แต่ไม่ค่อยจะมีแนวที่เราชอบคือสบายๆ ไม่เร่งรีบทานอาหารดีๆ ที่พักสวยๆ เลย จึงคิดว่าเราน่าจะลองทำออกมา ก็เลยเปิดเพจทำบล็อก เพราะเป็นช่องทางที่เราจะได้บอกต่อสื่อสารกับคนอื่นๆ แต่ก็ทำด้วยความตั้งใจอย่างมาก

 

“พอมาในระยะหลัง พัดก็เริ่มคิดว่าเราน่าจะเพิ่มคอนเทนต์อื่นๆ ที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์มากขึ้น เช่น บิวตี้, สปา และแฟชั่น ที่ตอบโจทย์ความต้องการในเรื่องไลฟ์สไตล์ให้มากขึ้นด้วย ทำให้เราสามารถขยายกลุ่มแฟนๆ 

 

“จนช่วงหลังก็มีแบรนด์ที่สนใจให้การสนับสนุนเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งเอาเข้าจริงๆ เพจของพัดถ้าเทียบกับบล็อกเกอร์คนอื่นๆ ก็ถือว่าไม่ได้มีคนตามมากมายขนาดนั้น แต่ค่อนข้างจะเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม คือเราตั้งใจจะมาทางลักชัวรีไลฟ์สไตล์ก็โพสิชันนิ่งตัวเองให้ชัดเจนว่า เราจะมาแนวนี้เท่านั้น ซึ่งในตลาดบล็อกเกอร์ยังไม่ค่อยมีใครทำ ดังนั้นลูกค้าที่มองหาแนวนี้เขาก็นึกถึงเรา ถ้าถามว่าตอนนี้ประสบความสำเร็จในส่วนนี้หรือยัง ก็ยังไม่ถึงขนาดนั้น แต่ก็ถือว่าเกินความคาดหมายที่เราคาดเอาไว้”

 

สำหรับเรื่องการบาลานซ์จัดสรรเวลาในฐานะบล็อกเกอร์และเจ้าของธุรกิจที่ต้องดูแลกิจการนั้น คุณพัดมักจะใช้ช่วงเวลาทำงานในการดูแลธุรกิจ ส่วนตอนเย็นหลังเลิกงานก็เป็นเวลาของการทำบล็อก แน่นอนว่าคนรุ่นใหม่อย่างเธอเองก็มีผู้ช่วยที่มีประสิทธิภาพในการทำงานหลายๆ อย่าง ซึ่งเข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง 

 

 

“การใช้คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปมีส่วนช่วยมากๆ ทั้งเรื่องของการดูแลธุรกิจและการเป็นบล็อกเกอร์ อย่างส่วนที่เป็นธุรกิจรถลีมูซีน พัดก็มักจะต้องพรีเซนต์งาน ดูยอดขาย ซึ่งเวลาในช่วงกลางวัน เราก็จะใช้งานในส่วนนี้ ส่วนตอนเย็นหลังเลิกงานและเวลาว่างก็เป็นเวลาของการทำบล็อก สิ่งที่พัดชอบเกี่ยวกับ Acer Swift 5 ก็อย่างที่รู้ว่าพัดเป็นคนชอบแต่งตัว แล้วก็ชอบอะไรที่ดีไซน์สวย ดังนั้นเวลาจะเลือกซื้อของ ก็อยากจะได้อะไรที่มันสวยและเข้ากับบุคลิกของเรา จึงชอบ Acer Swift 5 มาก เพราะดีไซน์ออกมาได้สวยมาก 

 

“อีกอย่างหนึ่งก็เพราะว่ามันบางและเบามาก น้ำหนักไม่ถึง 1 กิโลกรัม ทำให้พกพาสะดวก และแบตเตอรี่ก็สามารถอยู่ได้นานถึง 10 ชั่วโมง เราเป็นผู้หญิงแล้วถือกระเป๋าถือใบเล็กๆ ก็ไม่อยากจะยัดสายชาร์จอะไรเข้าไปด้วย ก็อยากจะเดินไปสวยๆ ซึ่งตรงนี้พัดมองว่ามันตอบโจทย์ผู้หญิงส่วนใหญ่ได้ดีมากๆ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ชอบแต่งตัว ชอบเดินทาง สามารถนำไปใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน เช่น ไปพบลูกค้า หรือเราอยากจะออกจากออฟฟิศไปนั่งทำงานเบาๆ ที่ร้านกาแฟ ก็ไม่ต้องพกสายชาร์จไป เพราะอยู่ได้นานถึง 10 ชั่วโมง อยู่แล้วไม่ต้องกังวลเรื่องแบตฯ จะหมดเลย เป็นอะไรที่ตอบโจทย์ได้ดีมากๆ

 

“นอกจากนี้ในส่วนของการใช้งานในฐานะบล็อกเกอร์ ซึ่งมักจะใช้โปรแกรมแต่งรูปบ่อย อุปกรณ์ตัวนี้ก็รองรับในการทำงานด้านนี้ของพัด คือการที่เราจะเปิดใช้งานโปรแกรมหลายๆ อย่าง มันก็จะยิ่งดึงให้ทำงานได้ช้า โดยเฉพาะโปรแกรมรูปอย่าง Photoshop หรือ Lightroom แต่ Acer Swift 5 ก็สามารถที่จะรองรับตรงนี้ได้ ทำภาพและอัปบล็อกได้อย่างสะดวกรวดเร็ว แถมยังมีฟังก์ชัน Touch Screen ที่ช่วยให้ใช้งานง่ายขึ้นอีก 

 

“Acer Swift 5 เป็นแล็ปท็อปที่สามารถพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวกทุกที่ ถ้าลูกค้าอยากจะให้จะแก้งานตอนไหน พัดก็ทำได้เลย และการที่สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วโดยไม่สะดุด ก็ทำให้ประหยัดเวลา ซึ่งเวลาของคนเราทุกวันนี้มีค่ามากนะคะ การที่เราไม่ต้องมานั่งเสียอารมณ์กับเรื่องพวกนี้ ว่าทำไมคอมพิวเตอร์ถึงทำงานช้า ก็ยังช่วยทำให้เราอารมณ์ดีและสนุกกับการทำงานได้มากขึ้น แถมยังทำให้เราทำงานได้อย่างราบรื่นไปถึงฝันได้อย่างมั่นใจขึ้นค่ะ”

 

เมื่อรู้จักตั้งเป้าหมายและวางแผนการเดินทาง เพื่อที่จะไปให้ถึงความสำเร็จ ก็ต้องรู้จักที่จะเลือกอุปกรณ์ที่ช่วย Make Your Mark ให้เราไปถึงจุดหมายที่ตั้งใจได้อย่างราบรื่นและมั่นใจขึ้น ดังเช่นคนรุ่นใหม่นักสร้างสรรค์ของเราทั้ง 3 คนนี้ ซึ่งเลือกใช้แล็ปท็อปคู่ใจของ Acer 

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

FYI

 

  • Acer Spin 5: น้ำหนักเพียง 1.5 กิโลกรัม ดีไซน์เก๋ เท่ ทันสมัย บอดี้โลหะทั้งหมดมอบความทนทานอันยอดเยี่ยม บานพับ Dual-Torque 360° ทำให้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้ถึง 4 โหมด ทั้ง Notebook, Tent, Display และ Tablet จอแสดงผล IPS FHD 13.3 นิ้ว Multi-Touch Screen และ Acer Color Intelligence™ มอบสีที่คมชัด สดใส ประหนึ่งมีชีวิต ทำให้คุณใช้งานเมนูต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย คงความคิดสุดสร้างสรรค์ ให้ประสบการณ์การเขียนและการร่างเต็มรูปแบบด้วย Acer Active Stylus 
  • Acer Swift 5: พกพาแสนสะดวกด้วยน้ำหนักที่น้อยกว่า 1 กิโลกรัม แล็ปท็อปบางเฉียบรุ่นนี้มาพร้อมความงดงามและความคล่องตัว จอแสดงผล IPS FHD Multi-Touch Screen ขนาด 15.6 นิ้ว พร้อมขอบจอบางเพียง 5.87 มิลลิเมตร ทำให้มีพื้นที่หน้าจอมากขึ้น ได้มุมมองที่กว้างขึ้น เปี่ยมพลังด้วยระบบประมวลผล 8th Gen Intel®Core™ i71 ช่วยให้แอปพลิเคชันโหลดได้เร็วขึ้น และทำงานได้หลายอย่างพร้อมกัน โดยไม่เกิดความหน่วง ด้วย PCIe SSD จึงได้เวลาตอบสนองที่รวดเร็วกว่า HDD ทั่วไปถึง 30 เท่า
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X