×

นักบัญชีเรียกร้องประเทศไทย ต้องยกระดับ ‘ธรรมาภิบาลองค์กร’ เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นนักลงทุน ทางป้องกันปัญหาทุจริตใน บจ.

28.11.2025
  • LOADING...
นักบัญชีเรียกร้อง ประเทศไทย ต้องยกระดับ ‘ธรรมาภิบาลองค์กร’ เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นนักลงทุน ทางป้องกันปัญหาทุจริตใน บจ.

ท่ามกลางกระแสการตรวจสอบกรณีทุจริตทางธุรกิจที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วเอเชีย ผู้นำภาคธุรกิจและหน่วยงานกำกับดูแลของไทยกำลังถูกเรียกร้องให้ยกระดับ ‘ธรรมาภิบาลองค์กร’ เพื่อเป็นมาตรการเชิงป้องกันที่ช่วยยับยั้งการกระทำผิดทางการเงิน ผู้นำอุตสาหกรรมระบุว่า ธรรมาภิบาลที่เข้มแข็งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและดึงดูดการลงทุน ในช่วงเวลาที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและความโปร่งใสมากขึ้น

 

รองศาสตราจารย์ ดร. สมชาย สุภัทรกุล คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และวินิจ ศิลามงคล นายกสภาวิชาชีพบัญชี ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมเรียกร้องให้ธุรกิจไทยเสริมสร้างมาตรการกำกับดูแลให้เข้มแข็งกว่าเดิม โดยชี้ว่าการเพิ่มบทบาทการกำกับดูแลที่เข้มแข็งของคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) และการจัดให้มีระบบตรวจสอบภายในที่รัดกุมยิ่งกว่ากระบวนการตรวจสอบบัญชีปกติจะช่วยยกระดับประเทศไทยให้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับภูมิภาคด้านความโปร่งใสและความรับผิดชอบในองค์กร

 

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้ ได้สร้างคำถามว่าเราจะป้องกันการทุจริตที่จงใจปกปิดได้อย่างไร หากประเทศไทยต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนอย่างแท้จริง ต้องเริ่มต้นจากการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับธรรมาภิบาลของคณะกรรมการบริษัทซึ่งเป็นหนึ่งในแนวป้องกันสามด่านเพื่อต่อสู้กับการกระทำผิดทางการเงิน” ดร. สมชาย กล่าว

 

ดร. สมชาย อธิบายว่า แนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับ โมเดลแนวป้องกันสามด่าน (Three Lines of Defense Model) ของสถาบันผู้ตรวจสอบภายในสากล (IIA) โดย แนวป้องกันด่านแรก คือ ฝ่ายบริหารซึ่งรับผิดชอบการดำเนินงานของธุรกิจ แนวป้องกันด่านที่สอง คือ คณะกรรมการบริษัทซึ่งมีหน้าที่กำกับดูแลฝ่ายบริหาร และ แนวป้องกันด่านที่สาม คือผู้สอบบัญชีอิสระซึ่งทำหน้าที่ให้ความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้น

 

นักบัญชีเรียกร้อง ประเทศไทย ต้องยกระดับ ‘ธรรมาภิบาลองค์กร’ เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นนักลงทุน ทางป้องกันปัญหาทุจริตใน บจ. 1
รองศาสตราจารย์ ดร. สมชาย สุภัทรกุล คณบดี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 

ตามโมเดลนี้ บทบาทหลักของผู้สอบบัญชีคือการ ‘ให้ความเชื่อมั่นอย่างอิสระ’ ไม่ใช่ ‘การตรวจจับการทุจริต’ แม้สื่อและผู้ถือหุ้นมักชี้นิ้วไปที่ผู้สอบบัญชีทันทีเมื่อเกิดกรณีทุจริต

 

อย่างไรก็ดี ดร. สมชาย อธิบายว่าการทุจริตที่สมรู้ร่วมคิดกันปกปิดโดยผู้บริหารระดับสูงอย่างเป็นระบบนั้นตรวจพบได้ยากมากโดยเฉพาะเมื่อมาตรฐานการสอบบัญชีระหว่างประเทศมุ่งเน้นการตรวจหาการข้อผิดพลาดที่มีสาระสำคัญ ไม่ใช่ตรวจหาการหลอกลวงโดยเจตนา ขณะที่การตรวจสอบนิติวิทยา (forensic audit) แม้สามารถตรวจพบการทุจริตได้ แต่มีต้นทุนสูง ใช้เวลามาก และไม่เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปในธุรกิจ

 

“ความท้าทายของผู้สอบบัญชี คือ ผู้สอบบัญชีต้องพึ่งพาข้อมูลที่ได้รับจากฝ่ายบริหารเป็นส่วนใหญ่ แม้จะไม่ใช่ทั้งหมดก็ตาม” เขาอธิบายเพิ่มเติม “ดังนั้น เมื่อการทุจริตเกิดจากการสมรู้ร่วมคิดของผู้บริหารระดับสูง กระบวนการตรวจสอบตามปกติจึงมักไม่อาจตรวจพบได้” จึงอาจเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติและไม่สอดคล้องกับหลักการแนวป้องกันสามด่าน ที่จะคาดหมายให้ผู้สอบบัญชีตรวจพบการทุจริตทุกกรณี

 

ขณะเดียวกัน งานวิจัยระดับนานาชาติหลายฉบับ ยังชี้ให้เห็นว่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินมักมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับกรณีทุจริตรายใหญ่

 

ด้าน วินิจ กล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทของไทยควรมีบทบาทที่เข้มแข็งมากขึ้นในการกำหนด ‘แนวปฏิบัติที่เป็นแบบอย่างโดยผู้นำองค์กร’ (tone from the top) ดูแลให้แน่ใจว่าระบบธรรมาภิบาลองค์กรทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมีการกำกับดูแลด้านความเสี่ยง จริยธรรม และการควบคุมภายในอย่างรอบด้าน เพื่อให้แน่ใจว่า การทุจริตจะถูกหยุดยั้งก่อนที่จะเริ่มเกิดขึ้น

 

นายกสภาวิชาชีพบัญชี ได้ให้ข้อเสนอแนะที่สำคัญ กล่าวคือ การส่งเสริมความเป็นอิสระและความรู้ทางการเงินของคณะกรรมการบริษัท การจัดให้มีช่องทางร้องเรียน (whistleblower) และการประเมินความเสี่ยงด้านการทุจริตอย่างสม่ำเสมอ

 

“สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแนวทางปฏิบัติที่ดีเท่านั้น” นายวินิจ กล่าว “แต่เป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน และปกป้องชื่อเสียงของธุรกิจไทย บริษัทจดทะเบียนควรมองว่าธรรมาภิบาลไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องของการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างคุณค่าให้แก่กิจการอย่างยั่งยืน ดึงดูดการลงทุน และเสริมศักยภาพให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่มีความสามารถในการแข่งขันในระดับภูมิภาค” วินิจกล่าว

 

นักบัญชีเรียกร้อง ประเทศไทย ต้องยกระดับ ‘ธรรมาภิบาลองค์กร’ เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นนักลงทุน ทางป้องกันปัญหาทุจริตใน บจ. 2
วินิจ ศิลามงคล นายกสภาวิชาชีพบัญชี

 

วินิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ว่าเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น การวิเคราะห์ข้อมูล (data analytics) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) สามารถช่วยตรวจจับความผิดปกติได้ แต่ยังจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากคณะกรรมการบริษัทในการป้องกันบริษัทจากกรณีทุจริตที่ซับซ้อน

 

“ในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพ เรามุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่การนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ เราก็ไม่อาจละเลยการพัฒนาองค์ความรู้ของบุคลากรในวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง การให้ความรู้เกี่ยวกับการทุจริตและการส่งเสริมให้มีความช่างสังเกตและสงสัยเยี่ยงผู้ประกอบวิชาชีพ (professional scepticism) มากยิ่งขึ้น เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องดำเนินการต่อเนื่อง” เขากล่าว

 

“ในขณะที่เรามุ่งมั่นพัฒนากระบวนการสอบบัญชีอย่างต่อเนื่อง แต่การป้องกันการทุจริตจำเป็นต้องเริ่มจากมีธรรมาภิบาลที่เข้มแข็ง ซึ่งรวมถึงการสื่อสารอย่างชัดเจนกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เกี่ยวกับขอบเขตและข้อจำกัดของการสอบบัญชีตามมาตรฐานการสอบบัญชีระหว่างประเทศ เนื่องจากบ่อยครั้งที่ผู้ประกอบวิชาชีพบัญชีต้องตกเป็นแพะรับบาปจากการขาดธรรมาภิบาลภายในองค์กร” นายวินิจ กล่าวเพิ่มเติม

 

แม้ประเทศไทยจะมีชื่อเสียงด้านความโปร่งใสที่เหนือกว่าหลายประเทศในภูมิภาค แต่คุณวินิจ เชื่อว่าเรายังสามารถยกระดับให้ดีขึ้นได้อีก โดยการปลูกฝังวัฒนธรรมแห่งความรับผิดชอบในทุกระดับขององค์กร

 

“หากหน่วยงานกำกับดูแล นักลงทุน และคณะกรรมการบริษัท ร่วมมือกันอย่างจริงจัง ประเทศไทยจะสามารถเป็นต้นแบบของเศรษฐกิจที่โปร่งใสและมีความรับผิดชอบในเอเชีย ซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้มากยิ่งขึ้น” วินิจ กล่าวสรุป

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising