ประวัติศาสตร์การแข่งขันเอฟวันมีการตัดสินกันในเรซสุดท้ายอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่จะมีจำนวนผู้ที่ยังมีความหวัง ไม่ใช่แค่ 3 เหมือนในฤดูกาล 2025 ที่กำลังจะตัดสินในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ระหว่าง แลนโด นอร์ริส, ออสการ์ ปิอาสตรี และแม็กซ์ เวอร์สแตพเพน แต่มากถึง 4 คน!
‘จตุรอาชา’ ประกอบไปด้วย เฟร์นานโด อลอนโซ, มาร์ค เว็บเบอร์, เซบาสเตียน เวทเทล และลูอิส แฮมิลตัน
มากหรือน้อยพวกเขาทั้ง 4 ต่างมีโอกาสและความหวังในทางทฤษฎีที่จะคว้าแชมป์โลกในปี 2010 ได้ และทำให้การแข่งขันสนามสุดท้ายของปีที่ ยาส มารีนา เซอร์กิต กลายเป็นการแข่งขันในระดับตำนานที่อยู่ในความทรงจำของใครหลายคน
ไม่ใช่แค่ในฐานะเรซสุดระทึก แต่เป็นบทเรียนของการตัดสินใจที่ผิดพลาด
และแชมป์โลก ‘ตาอยู่’ ที่คว้าพุงปลาไปกินเฉยเลย

เอฟวันในปี 2010 ถือเป็นหนึ่งในปีที่สนุกตื่นเต้นอย่างมาก กับการขับเคี่ยวที่เข้มข้นไปจนถึงสนามสุดท้าย
ในปีนั้น เฟร์นานโด อลอนโซ ราชานักแข่งชาวสเปนแห่งทีม Ferrari ต้องเจอกับคู่แข่งที่ทัดเทียมกันอย่าง มาร์ค เว็บเบอร์ นักแข่งชาวออสเตรเลียของทีมที่กำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่าง Red Bull ผู้มีความฝันอยากจะคว้าแชมป์โลกมาครองให้ได้สักครั้ง
ไม่ใช่แค่นั้นยังมี ลูอิส แฮมิลตัน แชมป์โลก 2008 ชาวอังกฤษจากทีม McLaren และ เซบาสเตียน เวทเทล ดาวรุ่งพุ่งแรงชาวเยอรมันของ Red Bull
ทั้ง 4 คนพยายามบดบี้กันมาจนถึงสนามสุดท้ายของฤดูกาล ‘อาบูดาบี กรังด์ปรีซ์’ ที่ ยาส มารีนา เซอร์กิต ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
อย่างไรก็ดีเงื่อนไขของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไปในการจะได้แชมป์
คนที่เงื่อนไขง่ายที่สุดไม่ต้องคิดถึงคนอื่นเลยคือ อลอนโซ ในฐานะผู้นำก่อนลงสนาม โดยมี 246 แต้ม ซึ่งขอเพียงแค่การจบด้วยการเป็นแชมป์หรืออันดับที่ 2 ก็เพียงพอแล้วสำหรับการครองแชมป์โลกสมัยที่ 4 ของเขา
ขณะที่เงื่อนไขของเว็บเบอร์ ซึ่งมี 236 แต้มอยู่ตรงข้ามกับอลอนโซ เขาจำเป็นต้องคว้าแชมป์ให้ได้และหวังว่าอลอนโซ จะหลุดไปไกลกว่า 2 อันดับแรก แชมป์โลกจะเป็นของเขาทันที
เงื่อนไขนั้นยิ่งยากขึ้นไปอีกสำหรับเวทเทล และแฮมิลตัน ซึ่งคนแรกนอกจากจะคว้าแชมป์ยังต้องภาวนาให้อลอนโซหลุดไปไกลเกินอันดับที่ 5 ส่วนคนหลังอย่าว่าแต่คว้าแชมป์เลย ต้องหวังว่าอลอนโซ หรือเว็บเบอร์ จะไม่มีแต้มด้วยกันทั้งคู่ซึ่งความเป็นไปได้ต่ำมาก
แต่ไม่ได้แปลว่าเป็นไปไม่ได้
เพราะความเป็นไปได้ในการแข่งรถเอฟวันมีอยู่เสมอ
การแข่งขันนั้นยิ่งดูน่าสนุกมากขึ้นตั้งแต่ช่วง Qualifying เลยทีเดียว
เพราะคนที่ได้ ‘Pole’ คือเวทเทล ที่อยู่ในช่วงกำลังเข้าฝักควบรถคันเก่งคว้าสิทธิ์ออกสตาร์ทหน้าสุดได้สำเร็จ ตามมาด้วยแฮมิลตันและอลอนโซในอันดับที่ 2 และ ส่วนเว็บเบอร์หล่นไปไกลถึงที่ 5 โดยมี เจนสัน บัตตัน คั่นกลางระหว่างเขากับจ่าฝูงชาวสเปน
สมมติว่านี่คืออันดับเมื่อทุกคันผ่านธงตราหมากรุกไปแล้ว อย่างที่บอก อลอนโซ จะได้เป็นแชมป์โลกอีกสมัยทันที
แต่เรื่องไม่สมมติคือการเกิด ‘Plot twist’ หรือเรื่องหักมุมที่ไม่มีใครคาดคิด จากจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในเหตุการณ์ช่วงต้นของเรซที่ส่งผลกระทบมหาศาล
จุดเปลี่ยนนั้นเกิดจากการตัดสินใจครั้งเดียวที่กลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของทีม Ferrari
ย้อนกลับไปในช่วงของการออกสตาร์ท เวทเทล ออกสตาร์ทได้อย่างร้อนแรงรักษาตำแหน่งผู้นำเอาไว้ได้ ขณะที่อลอนโซ ถูกบัตตัน ที่ออกสตาร์ทได้เยี่ยมเช่นกัน จังหวะแซงขึ้นนำอยู่ในอันดับที่ 3 ทำให้อลอนโซ หล่นไปอยู่อันดับที่ 4 เหนือเว็บเบอร์
ก่อนจะเกิดเหตุการณ์รถชนกันระหว่าง มิชาเอล ชูมัคเกอร์ และวิตันโตนิโอ ลิอุซซี ในโค้งที่ 6 ที่ทำให้รถเซฟตี้คาร์ต้องออกมาวิ่งนานถึง 4 รอบระหว่างรอให้ทีมงานรักษาความปลอดภัยจัดการกับเศษซากของรถที่เกลื่อนแทร็ก
มันเป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่เวททิล ฉวยโอกาสนำโด่งไปไกลโดยที่ดูจากฟอร์มการขับขี่และพลังอันมหาศาลของรถที่สดจัดแล้ว ยากที่จะไล่ตามได้ทัน
สถานการณ์นั้นทำให้ทีมงาน ‘ม้าลำพอง’ และตัวของอลอนโซ โฟกัสกับเรื่องของการ “ทำอย่างไรก็ได้ขอให้จบอันดับเหนือกว่าเว็บเบอร์” เพื่อให้เข้าเงื่อนไขที่เขาจะคว้าแชมป์โลกอีกสมัยมาครอง
แต่มันกลับกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุด

เว็บเบอร์ ซึ่งมีปัญหาเกี่ยวกับยางถูกเรียกเข้าพิตเพื่อเปลี่ยนจากยาง Soft เป็น Hard แทนในรอบที่ 8 นำไปสู่ฉากจบที่ไม่คาดฝัน เพราะ Ferrari ดันสนใจแค่การกันนักขับชาวออสเตรเลียให้พ้นทาง และตัดสินใจผิดถึง 2 ครั้ง
ครั้งแรกคือการเรียก เฟลิเป มาสซา นักขับเบอร์ 2 ของทีมเข้าพิตเพื่อเปลี่ยนยางด้วยหวังจะใช้เป็นคนสกรีนขัดขวางเว็บเบอร์ ซึ่งเหนื่อยหนักหลังเข้าพิตกว่าที่จะผ่านด้าน ไฮเม อัลเกวซัวรี จากทีม Torro Rosso มาได้ ปรากฏว่านักขับชาวบราซิลทำภารกิจไม่สำเร็จ
จากนั้นพวกเขาเรียก อลอนโซ กลับเข้าพิตเพื่อเปลี่ยนยางหลังรอบที่ 15
คราวนี้เหมือนจะดีเพราะ อลอนโซ กลับมานำหน้าเว็บเบอร์ได้พอดี ซึ่งเรียกว่าเป็นไปตามแผน ที่เหลือคือการทำอันดับไล่ขึ้นไปให้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่าที่ 5 แล้วแชมป์โลกก็จะอยู่ในมือของพวกเขาอีกครั้ง
แต่ตัวแปรสำคัญในวันนั้นคือ วิตาลี เปตรอฟ นักขับชาวรัสเซียจากทีม Renault
สิ่งที่อลอนโซ และทีม Ferrari ไม่คาดคิดคือ เปตรอฟ จะอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยมและรถของ Renault ก็ทำความเร็วได้ดีเหลือเชื่อ จนพวกเขาไม่สามารถที่จะแซงได้
อลอนโซ และเว็บเบอร์ เหมือนติดกับดักที่มองไม่เห็นอยู่อย่างนั้นไปจนจบเรซ ขณะที่เวทเทล ควบรถพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง โดยที่แฮมิลตันพยายามแล้วแต่ก็ไล่ตามมาไม่สำเร็จ
บทสรุปสุดท้ายคือเวทเทล แซงหน้าอลอนโซ ซึ่งจบด้วยการเป็นอันดับ 7 คว้าแชมป์โลกสมัยแรกของเขาและของ Red Bull ไปครองได้อย่างมหัศจรรย์

เวทเทลในวัย 23 ปี ซึ่งไม่เคยเป็นผู้นำในตารางเลยตลอดทั้งฤดูกาลจนกระทั่งมาแซงคว้าแชมป์โลกในสนามสุดท้ายบอกว่าสิ่งที่พาเขามาถึงตรงนี้ได้คือ ‘ความศรัทธา’
ไม่ใช่แค่กับตัวเอง แต่รวมถึงทีมด้วย
ขณะที่พี่ใหญ่ในทีม Red Bull อย่างเว็บเบอร์ในวัย 34 ปี ซึ่งเป็นปีที่เขามีโอกาสใกล้ที่สุดที่จะเป็นแชมป์โลกตกอยู่ในความผิดหวังอย่างรุนแรงหลังจบด้วยอันดับ 8 ตามหลังอลอนโซ
“เราทำในสิ่งที่เราต้องทำแล้ว แต่มันยังดีไม่พอ”
ไม่นับในเรื่องของความรู้สึกว่าทีมมีการเลือกที่รักมักที่ชัง ด้วยการสนับสนุนเวทเทลมากกว่าตัวของเขาเองตลอดฤดูกาล ซึ่งกลายเป็นปมใหญ่ในชีวิต
สำหรับอลอนโซ แม้ว่ามันจะเป็นฉากสุดท้ายที่เจ็บปวด แต่เขาไม่ได้ติดใจอะไรกับการตัดสินใจที่กลายเป็นความผิดพลาดของทีม แม้วา ร็อบ สเม็ดลีย์ วิศวกรของทีมจะยอมรับว่าวันนี้พวกเขาทำได้ไม่ดีที่สุดอย่างที่ตั้งใจก็ตาม
“เวลาแข่งจบมันก็ง่ายที่จะมองว่ากลยุทธ์แบบไหนดีที่สุด แต่นี่มันคือเกมกีฬาแข่งรถ มันก็แบบนี้แหละ บางครั้งเราก็ชนะ บางครั้งเราก็แพ้” อลอนโซบอก และยืนยันว่าเขาไม่ได้ติดใจอะไรกับเปตรอฟ ที่ไม่ยอมให้เขาผ่านไปง่ายๆ สู้เหมือนลุ้นแชมป์เองทั้งเรซ
และนั่นคือบทสรุปของเรซสุดท้ายในตำนานที่ยังอยู่ในความทรงจำของผู้คนมากมาย
โดยที่หวังว่าในเรซสุดท้ายของปี 2025 ซึ่งยังมีโอกาสลุ้นแชมป์กันถึง 3 คน จะเป็นเรซที่สนุก น่าจดจำ และมีอะไรให้พูดถึงเฉกเช่นเดียวกัน


