หากจังหวะการเซฟของ เอมี มาร์ติเนซ ในนัดชิงชนะเลิศ ฟุตบอลโลกที่ประเทศกาตาร์ คือการเซฟครั้งสำคัญที่สุดของปี 2022 และอาจสำคัญที่สุดสำหรับประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลอาร์เจนตินาในศตวรรษที่ 21
การเซฟของ อารอน แรมส์เดล ถึง 2 ครั้งในช่วงท้ายเกมที่แอนฟิลด์ เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พอจะบอกว่าเป็นการเซฟที่สำคัญที่สุดในปี 2023 และอาจหมายถึงประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของอาร์เซนอลได้ไหม?
แต่ก่อนจะตอบคำถามนี้ มาชวนทุกคนย้อนกลับไปในเกมระหว่างอาร์เซนอลกับลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นเกมที่ แกรี เนวิลล์ มองว่า ถ้าทีมของ มิเกล อาร์เตตา สามารถบุกไปเอาชนะได้ที่แอนฟิลด์ นั่นหมายถึงแชมป์จะตกเป็นของอาร์เซนอลอย่างแน่นอน
ในความหมายคือ หากกันเนอร์สยังสามารถบุกมาเก็บชัยชนะได้ในสนามที่ยากต่อการมาเยือนที่สุด ก็คงยากที่จะหาใครมาหยุดพวกเขาได้ในช่วงเวลาที่เหลือ
และในช่วงเริ่มต้นเกม ทุกอย่างมันก็ดูจะเป็นไปในทำนองนั้น
อาร์เซนอลเริ่มต้นเกมได้อย่างมั่นใจตามสไตล์ สวนทางกับลิเวอร์พูล ซึ่งมีปัญหาเรื่องของฟอร์มการเล่นตกต่อเนื่องนับจากชัยชนะถล่มทลายเหนือคู่ปรับตลอดกาลเมื่อเดือนที่แล้ว และนั่นก็นำไปสู่การได้ประตูขึ้นนำถึง 2 ลูกจาก ‘ดับเบิลกาเบรียล’ อย่าง กาเบรียล มาร์ติเนลลี และ กาเบรียล เชซุส
สกอร์ดังกล่าวทำให้ทุกอย่างควรจะอยู่ในมือของอาร์เซนอล พวกเขาน่าจะเก็บ 3 คะแนนได้ และในความเห็นของเนวิลล์ แชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกนับตั้งแต่ชุด ‘The Invincibles’ เมื่อฤดูกาล 2003/04
แต่จุดเปลี่ยนของเกมเกิดจากสิ่งเล็กๆ ในเหตุการณ์ระหว่าง กรานิต ชากา กับ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เมื่อมีการ ‘แถม’ กันนิดๆ หน่อยๆ จากมิดฟิลด์ฮาร์ดแมนชาวสวิสที่กำลังคึกและมั่นใจไปใส่ฟูลแบ็กที่กราฟชีวิตตกต่ำอย่างน่าตกใจ
ความห้าวไม่เข้าเรื่องของชากานำไปสู่การจุดประกาย 2 อย่าง
หนึ่งคือจุดประกายให้กับเทรนต์ที่ต้องการจะฮึดสู้กลับมาอีกครั้ง หลังจากรู้สึกว่าถูกหยาม
อีกหนึ่งคือการจุดชนวนระเบิดให้กับเหล่ากองเชียร์เดอะ ค็อป ในสนาม ที่ทำให้เห็นอีกครั้งว่า คำพูด “หากแอนฟิลด์หลับอยู่ ก็อย่าไปปลุกมัน!”
นับจากนั้นเป็นต้นมา ลิเวอร์พูลก็ค่อยๆ กลับมาเป็นทีมที่ดุดันอีกครั้ง รวมถึงความมั่นใจที่ได้กลับมาด้วยประตูของ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ในช่วงท้ายครึ่งแรก และนั่นทำให้ยามบ่ายของกองเชียร์อาร์เซนอลเต็มไปด้วยความลุ้นระทึก
โอกาสยิงของลิเวอร์พูลในเกมนี้มากถึง 21 ครั้ง ซึ่งรวมถึงโอกาสแบบจะแจ้งมากมาย
ไม่นับลูกจุดโทษของซาลาห์ที่ยิงพลาดไปเองในช่วงต้นครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลควรจะได้ประตูจากโอกาสหลุดเดี่ยวของ ดาร์วิน นูนเญซ ที่ลงสนามมาเป็นตัวสำรองในช่วงครึ่งหลังแทนที่ของ ดิโอโก โชตา รวมถึงลูกปั่นโค้งในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของซาลาห์ และก่อนหมดเวลากับโอกาสของ อิบราฮิมา โกนาเต
แต่ทั้ง 3 จังหวะนี้ แรมส์เดลโชว์ซูเปอร์เซฟช่วยชีวิตทีมเอาไว้ได้ทั้งหมด โดยมีเพียงประตูของ โรแบร์โต ‘Si Senor’ เฟอร์มิโน ที่ไม่สามารถป้องกันได้ไหว ทำให้สุดท้ายเกมจบลงด้วยการเสมอกัน 2-2 เท่านั้น
โดยเฉพาะลูกยิงโค้งของซาลาห์ที่แฉลบชากา ซึ่งแรมส์เดลทะยานบินไปปัดบอลได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งๆ ที่ลูกมันแฉลบรับไม่ง่าย
และจังหวะการเซฟที่เหลือเชื่อสุดๆ ที่ลิเวอร์พูลโหมขึ้นมาในช็อตสุดท้าย เมื่อนูนเญซ ได้บอลเปิดเข้ามา ก่อนจะโขกชงให้กับโกนาเตที่อยู่กลางประตู (ซึ่งก็น่าคิดว่าถ้านูนเญซมั่นใจหน่อย ขวิดบอลเอง จะมีโอกาสเป็นประตูมากกว่าไหม?) ปราการหลังทีมชาติฝรั่งเศสพยายามที่จะใช้หน้าอกส่งบอลเข้าประตูแบบชัวร์ๆ
แต่ใครจะคิดว่าแรมส์เดลจะดีดตัวถอยหลังกลับมาเซฟได้ก่อนบอลจะข้ามเส้นแบบสุดมหัศจรรย์
นั่นทำให้เกิดเป็นคำถามว่า การเซฟของแรมส์เดลในเกมนี้จะมีความหมายมากกว่าการเป็นแค่การเซฟแต้มให้อาร์เซนอลได้ 1 คะแนนกลับจากแอนฟิลด์
โดยที่ 1 แต้มนี้จะดีพอสำหรับการเซฟแชมป์ให้พวกเขาได้ด้วยหรือไม่ในช่วงที่เหลือของฤดูกาลนี้?
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากจะตอบในตอนนี้ เพราะสถานการณ์อาร์เซนอลมีความได้เปรียบอยู่ 2 หมัดจากการมีคะแนนนำ 6 คะแน แม้ว่าจะลงแข่งมากกว่า 1 นัด โดยที่ยังมีเกมที่ต้องพบกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่หากไม่แพ้กลับมาจากเอติฮัดสเตเดียม โอกาสที่จะโดนแซงกลับมาได้ก็อาจมีน้อยลงไป
มองตามโปรแกรมที่เหลืออยู่ อาร์เซนอลยังมีเกมหนักอื่นๆ รออยู่ ไม่ว่าจะเป็นการพบกับทีมที่ฟอร์มแรงอย่างนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด, ไบรท์ตัน ไปจนถึงเชลซีด้วย ขณะที่ซิตี้โปรแกรมที่หนักอาจเหลือแค่ไบรท์ตันและเชลซี
แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่แรมส์เดลได้ช่วยเซฟไว้โดยที่ไม่ได้มีตัววัดเป็นคะแนนคือ เรื่อง ‘ความมั่นใจ’ ของทีมที่มีโอกาสจะ ‘เป๋’ ได้อีกเหมือนกันหากพลิกกลับมาแพ้ลิเวอร์พูลในสถานการณ์ที่นำไปก่อน 2-0 และควรจะปิดเกมได้โดยง่ายอยู่แล้วแท้ๆ ซึ่งหากสมมติซาลาห์หรือโกนาเตยิงเข้าไปในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ มันจะส่งผลต่อความมั่นใจของทีมไม่มากก็น้อยอย่างแน่นอน
การยังไม่แพ้ที่แอนฟิลด์ในวันที่คู่แข่งเองก็สมควรจะเป็นผู้ชนะ สามารถมองว่าเป็นการได้ ‘แต้มยาก’ มากกว่าการ ‘เสีย 2 แต้ม’ และนั่นคือผลงานของประตูดาวเด่นที่เป็นหนึ่งในนายทวารที่ดีที่สุดในอังกฤษเวลานี้
อย่างไรก็ดี สุดท้ายแล้วการเซฟของแรมส์เดลจะมีความหมายมากหรือน้อยแค่ไหน ต้องขึ้นอยู่กับนักเตะของอาร์เซนอลคนอื่นๆ และตัวของอาร์เตตาเองด้วย
ถ้าหากอาร์เซนอลยืนระยะไหวในช่วงที่เหลือได้แชมป์จริง จังหวะเซฟ 2 ครั้งนี้ของแรมส์เดลจะเป็นหนึ่งในตำนานของทีมร่วมกับลูกยิงในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของ รีสส์ เนลสัน ในเกมกับบอร์นมัธอย่างแน่นอน
อ้างอิง: