วันนี้ (23 ตุลาคม) วิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของ บอสพอล-วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ผู้ก่อตั้ง บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด พาพนักงานบริษัทดิไอคอนกรุ๊ปเข้าบันทึกประจำวันกับพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน หลังวานนี้ (22 ตุลาคม) เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เข้าตรวจค้น 11 จุดที่เกี่ยวข้องกับดิไอคอนกรุ๊ป พร้อมยึดของกลาง และเชิญตัวพนักงาน 10 คนมาสอบปากคำนานถึง 8 ชั่วโมง รวมถึงยึดโทรศัพท์มือถือของพนักงานทั้งหมด
วิฑูรย์เปิดเผยว่า หลังจากที่เมื่อวานมีการบุกค้นและเชิญตัวเหล่าพนักงานของบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป 10 คนไปให้ปากคำในฐานะพยาน ก่อนนำตัวพนักงาน 10 คนมาสอบปากคำที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และให้พนักงานทั้งหมดปิดโทรศัพท์มือถือ ไม่ให้ติดต่อคนภายนอก หากจะติดต่อคนภายนอกจะต้องเปิดลำโพงโทรศัพท์มือถือ จึงรู้สึกว่าเกินเลย ยืนยันว่าตนไม่ได้มีประเด็นอะไรกับการทำหน้าที่ของตำรวจ เพียงแต่ว่าอย่าเกินเส้นของกฎหมาย เข้าใจว่าอาจทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ตนเองไม่ได้อยากจะแจ้งความดำเนินคดีมาตรา 157 กับเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการเมื่อวานนี้ เพราะเจ้าหน้าที่ก็ทำหน้าที่ของเขา
แต่ที่วันนี้มาที่ สน.พหลโยธิน เป็นเพียงการลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น แต่ในอนาคตหากพนักงานบริษัทดิไอคอนกรุ๊ปจะดำเนินคดีก็ใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้ โดยในวันศุกร์ (25 ตุลาคม) จะพาพนักงานไปร้องเรียนต่อที่สำนักงานจเรตำรวจ เพราะอยากให้ทางจเรตำรวจช่วยตรวจสอบการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ชุดเมื่อวานนี้ ว่าทำโดยกรอบอำนาจของกฎหมายหรือไม่ จะดำเนินการทางวินัยอย่างไรก็ว่ากันไป แต่ไม่ได้อยากดำเนินคดีอาญากับตำรวจ เพราะรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ชุดทำงาน โดยในวันศุกร์หากมีเวลาเหลือจะพาพนักงานไปร้องคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ว่ามีการดำเนินการที่อยู่นอกกรอบของรัฐธรรมนูญหรือไม่
ทั้งนี้ตนถามพนักงานแต่ละคนที่ถูกยึดโทรศัพท์มือถือว่าเซ็นยินยอมหรือไม่ ปรากฏว่าเซ็นยินยอมทั้งหมด โดยตัวพนักงานเกรงว่าหากไม่เซ็นจะไม่ได้กลับบ้าน เพราะหลายคนไม่ทราบว่าตนมีสิทธิอะไรบ้าง
“สภาพแวดล้อมการทำหน้าที่ของตำรวจไม่เอื้อให้ตัวพนักงานดิไอคอนกรุ๊ปได้มีสิทธิตัดสินใจหรือแม้แต่ติดต่อบุคคลภายนอก เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ขู่ตรงๆ แต่ใช้ท่าทาง และอาจมีคำพูดที่ทำให้ตัวพนักงานตกใจหรือกดดันบ้าง” วิฑูรย์กล่าว
ประเด็นต่อมาคือ ทราบมาว่าขณะนี้มีการเตรียมออกหมายจับผู้ต้องหาชุดที่ 2 จึงอยากส่งสารไปถึงศาลยุติธรรมให้ช่วยพิจารณาเรื่องนี้โดยละเอียดหน่อย ว่ามีเหตุเพียงพอที่จะออกหมายจับหรือไม่ เพราะออกหมายเรียกผู้ที่ถูกเรียกก็พร้อมให้ข้อมูล แต่หากออกหมายจับเลยจะเท่ากับว่าเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการต่อสู้คดีหรือการชี้แจงคดีหรือไม่
ขณะที่วันพรุ่งนี้เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครอนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมบอสพอลได้แล้วนั้น ตนเองติดภารกิจ แต่จะฝากหนังสือมอบอำนาจให้ทีมทนายความเข้าไปให้บอสพอลเซ็นมอบอำนาจให้ตนเองมาดำเนินคดีกับนักร้อง ก. ในข้อหากรรโชกทรัพย์ มั่นใจว่ามีหลักฐานที่จะเอาผิดได้ โดยมีคลิปเสียงขนาด 1.86 GB ส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้ว
เมื่อสื่อมวลชนถามว่า กรณีคลิปเสียงที่ก่อนหน้านี้ปรากฏเสียงนักการเมือง ส. เรียกรับเงิน เหตุใดตอนนี้ถึงพุ่งเป้าไปที่นักร้องเรียน ก. เพียงคนเดียว วิฑูรย์กล่าวว่า บอสพอลยืนยันกับตัวเองว่าไม่ได้จ่ายเงินให้กับ ส. จึงไม่ได้ดำเนินคดี
ทั้งนี้ตนเองไปหาบอสพอลมาเมื่อวานนี้ บอสพอลเปิดเผยกับตนว่า “ไม่ต้องกังวลว่าบอสพอลจะออกวันไหน ไม่ต้องมานั่งเครียดว่าจะประกันตัวได้เมื่อไร ให้ผมทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ บอสพอลอยู่ได้”
ขณะที่ เอ (นามสมมุติ) หนึ่งในพนักงานของบริษัทดิไอคอนกรุ๊ปที่ถูกตำรวจเชิญตัวไปให้ข้อมูลหลังเข้าค้น 11 จุด เปิดเผยว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไปเชิญตัวมาให้ปากคำ มีเพียงหมายค้นแต่ไม่มีหนังสือเชิญตัวแต่อย่างใด โดยหนังสือเชิญตัวเขียนขึ้น ณ จุดเกิดเหตุ จึงทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยกับการทำงานของตำรวจ อีกทั้งระหว่างที่ถูกควบคุมตัวมีการบันทึกภาพและวิดีโอไว้ตลอด ซึ่งในมุมของตนที่เป็นประชาชนรู้สึกว่าตนเองไม่ใช่ผู้ต้องหา จึงเดินทางเข้ามาบันทึกประจำวันในวันนี้เพื่อเป็นหลักฐาน
ส่วนการสอบถามของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พนักงานคนดังกล่าวระบุว่ามีลักษณะการชี้นำ และถามว่ามีตำแหน่งในบริษัทหรือไม่ ซึ่งเธอตอบไปแล้วว่าตนเองเป็นเพียงแค่พนักงานที่ทำงานตามหน้าที่ และเจ้าหน้าที่พูดหว่านล้อมจนทำให้หวาดกลัวตลอดการสืบสวนสอบสวนหลายชั่วโมง ซึ่งมีเจ้าหน้าที่พูดกับตนว่า “วันนี้เป็นพยาน พรุ่งนี้อาจเป็นผู้ต้องหาก็ได้” ทำให้กลัวและร้องไห้ออกมา
และประเด็นเรื่องการยึดโทรศัพท์มือถือ มีการสอบปากคำเธอตั้งแต่เวลา 12.00 น. จนถึงเวลา 20.00 น. ใช้เวลาทั้งหมด 8 ชั่วโมง และยึดโทรศัพท์มือถือไปตั้งแต่แรก ทำให้ทุกคนไม่สามารถติดต่อหาครอบครัวได้ โดยเรื่องการเซ็นเอกสารยินยอมนั้น ในเอกสารระบุข้อความกว้างๆ ว่า เพื่อความยินยอมให้นำโทรศัพท์มือถือไปตรวจสอบเพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่ได้ระบุว่าเอกสารดังกล่าวจะยินยอมหรือไม่ยินยอมก็ได้ เพราะเป็นสิทธิของพยาน ทำให้เธอเซ็นไปแต่แรก ขณะเดียวกันเพื่อนบางคนที่เจ้าหน้าที่แจ้งสิทธิจึงไม่ได้เซ็นเอกสารดังกล่าว
พร้อมบอกว่าตัวเองทำงานที่บริษัทดิไอคอนกรุ๊ปกับบอสพอลมาได้ 2 ปี มีความสนิทสนมกันในฐานะนายจ้างกับลูกจ้างส่วนตัว ไม่ทราบระบบในบริษัท ดูแลเฉพาะพนักงานหรือฝ่ายบุคคลเท่านั้น
ในช่วงหนึ่งพนักงานคนดังกล่าวได้กล่าวถึงบอสพอลในฐานะหัวหน้าของตัวเองว่า บอสพอลเป็นเจ้านายที่ดีมากๆ รักลูกน้องทุกคนมากๆ พวกเราทุกคนได้รับการดูแลเป็นอย่างดี อยู่กันเหมือนพี่น้อง ให้ความช่วยเหลือตลอด ขณะเดียวกันต้องบอกว่า ในมุมการทำงาน บอสพอลเป็นทั้งอาจารย์ เป็นทั้งครู ในการสอนและให้แนวทางในการดำเนินชีวิตสำหรับแต่ละคนว่า ‘ให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติ’
ทั้งนี้ช่วงก่อนที่บอสพอลจะโดนควบคุมตัว บอสพอลยังให้กำลังใจทุกคนอีกด้วย พร้อมบอกว่า เรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ทุกคนอย่าเป็นกังวล ให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม