วันนี้ (9 ตุลาคม) แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมการกล่าวถ้อยแถลงในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 44 (แบบเต็มคณะ) เพื่อย้ำถึงความจำเป็นที่อาเซียนต้องมีการทำงานร่วมกันระหว่างชาติสมาชิกในการแก้ไขปัญหาของประชาชน และส่งเสริมการกินดีอยู่ดีของประชาชนกว่า 700 ล้านคนในภูมิภาค
โดย จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญการประชุมในช่วงครึ่งเช้าดังนี้
นายกรัฐมนตรีระบุว่า ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้ประเทศสมาชิกอาเซียนต้องเผชิญกับความท้าทายที่ยากและซับซ้อน ทั้งจากการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ จนถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความเสียหายจากพายุไต้ฝุ่น ‘ยางิ’ ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในหลายประเทศของสมาชิกอาเซียน จึงเป็นสิ่งย้ำเตือนให้ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง นอกจากนี้จำเป็นที่จะต้องสร้างประชาคมอาเซียนที่เชื่อมโยงและยืดหยุ่นในแต่ละปัญหาให้มากยิ่งขึ้น
นายกรัฐมนตรีเชื่อว่าความเป็นผู้นำร่วมกัน (Collective Leadership) ที่พร้อมจะสร้างความแตกต่าง นำไปสู่การแก้ไขปัญหาและความเจริญร่วมกันได้ โดยประเทศไทยได้เสนอประเด็นสำคัญดังนี้
- ประเด็นด้านความยั่งยืน: อาเซียนต้องร่วมกันดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศและความเป็นกลางทางคาร์บอน การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด การเงินสีเขียว และเศรษฐกิจสีเขียว รวมถึงนวัตกรรมดิจิทัลเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคสมัยใหม่นี้จะไม่กระทบสิ่งแวดล้อมหรือเกิดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมในภูมิภาค
- ประเด็นด้านความมั่นคงของมนุษย์: อาเซียนต้องทำงานร่วมกันในการต่อสู้กับทุกวิกฤต เพื่อให้ประชาชนมีอาหาร พลังงาน และสิ่งจำเป็นพื้นฐาน และควรส่งเสริมการเกษตรอัจฉริยะไปพร้อมๆ กับเกษตรยั่งยืน เพื่อวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับผลผลิตและความมั่นคงทางอาหารในระยะยาวของภูมิภาค นอกจากนี้จะต้องเร่งเสริมสร้างกรอบการทำงานของอาเซียนในด้านพลังงาน เช่น การเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้าของอาเซียน เพื่อการยืดหยุ่นด้านพลังงานในภูมิภาค
ขณะเดียวกันสมาชิกอาเซียนควรร่วมกันส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่มีพรมแดนระหว่างกัน รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะการหลอกลวงออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการปราบปรามการค้ายาเสพติด โดยเพิ่มความเข้มข้นในการควบคุมพื้นที่บริเวณชายแดนระหว่างกัน
- ประเด็นเรื่องการบูรณาการระดับภูมิภาคที่ลึกซึ้ง: การสนับสนุนความพยายามของอาเซียนในการปรับปรุงและยกระดับ FTA กับคู่เจรจา และในฐานะที่ไทยเป็นประธานคณะกรรมการเจรจา ASEAN Digital Economy Framework Agreement (DEFA) จะผลักดันการเจรจาให้แล้วเสร็จภายในปีหน้า (พ.ศ. 2568) เพื่อสร้างเครื่องยนต์กลไก กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ในอาเซียน
นอกจากนี้ยังส่งเสริมการพัฒนาทักษะดิจิทัลสำหรับธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และขนาดย่อย (MSMEs) เพื่อเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อช่วยสร้างการเติบโตในเศรษฐกิจของโลกที่ผันผวนอยู่ในขณะนี้
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการสร้างความเชื่อมโยงในทุกๆ ด้าน เช่น การเพิ่มเที่ยวบินและขยายระยะเวลาการยกเว้นวีซ่า (Visa Free) ระหว่างประเทศอาเซียน การส่งเสริมการค้าและการท่องเที่ยว รวมทั้งความร่วมมือกับประเทศพันธมิตรอื่นๆ เพื่อเสริมสร้างความเป็นแกนกลางและความสามัคคี ที่จะทำให้การมีส่วนร่วมของอาเซียนกับประเทศพันธมิตรภายนอกมียุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องมากขึ้น
ทั้งนี้ สมาชิกอาเซียนควรหลีกเลี่ยงการเป็นตัวแทนของอำนาจใดๆ หรือปล่อยให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นเวทีแห่งการแข่งขัน เพื่อสร้างสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ และไทยจะทำหน้าที่ส่งเสริมสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันอย่างแข็งขันเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาในภูมิภาค
นายกรัฐมนตรีกล่าวเสริมว่า ประเทศไทยจะรอการสถาปนาความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์แบบรอบด้านระหว่างอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี และอาเซียน-นิวซีแลนด์ และประเทศไทยพร้อมสนับสนุนข้อริเริ่มของประเทศมาเลเซียในการจัดการประชุม ASEAN-GCC-China Summit ในปีหน้า
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความยินดีกับ สปป.ลาว สำหรับความสำเร็จของการเป็นประธานอาเซียนครั้งนี้ และพร้อมสนับสนุนมาเลเซียในการเป็นประธานอาเซียนวาระถัดไป ซึ่งมั่นใจว่าจะพาประเทศสมาชิกอาเซียนให้พัฒนาในทุกๆ ด้านต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้