วันนี้ (8 ตุลาคม) เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า วันนี้ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รีบตรวจสอบตามหน้าที่และอำนาจว่า การแต่งตั้ง สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 319/2567 ลงวันที่ 16 กันยายน 2567 และการแต่งตั้ง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 348/2567 ลงวันที่ 4 ตุลาคม 2567 จะทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
ตามแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 21/2567 วันที่ 14 สิงหาคม 2567 เป็นกรณีที่ เศรษฐา ทวีสิน ในฐานะนายกรัฐมนตรี ถูกศาลวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของเศรษฐาในฐานะนายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5)
เรืองไกรกล่าวว่า กรณีของเศรษฐาต้องพ้นจากตำแหน่ง มีมูลเหตุจากการตั้งบุคคลเป็นรัฐมนตรีทั้งที่บุคคลนั้นเคยถูกศาลสั่งลงโทษจำคุกมานานแล้ว กรณีดังกล่าวจึงเป็นการวินิจฉัยในทำนองที่ว่า การที่นายกรัฐมนตรีตั้งคนที่มีลักษณะเคยต้องโทษจำคุกดังกล่าว จึงถือว่านายกรัฐมนตรีมีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติการณ์อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
เรืองไกรกล่าวว่า เมื่อนำแนวคำวินิจฉัยมาเทียบเคียงกับกรณีที่แพทองธารออกคำสั่งแต่งตั้งสุรพงษ์ ซึ่งเคยต้องคำพิพากษาศาลฎีกาให้ลงโทษจำคุกมาแล้ว และกรณีออกคำสั่งแต่งตั้งณัฐวุฒิ ซึ่งเคยต้องคำพิพากษาศาลฎีกาให้ลงโทษจำคุกมาแล้วเช่นกัน กรณีนี้จึงน่าจะเข้าข่ายเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของแพทองธารสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) ตามมาได้ ตนจึงมีเหตุอันควรขอให้ กกต. รีบตรวจสอบต่อไปโดยด่วน
เรืองไกรกล่าวเพิ่มเติมว่า หาก กกต. ตรวจสอบแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำร้องมีมูล ขอให้ กกต. รีบส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยโดยเร็ว ตามความในมาตรา 170 วรรคสาม พร้อมทั้งขอให้ศาลมีคำสั่งให้แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยตามความในมาตรา 82 วรรคสอง ด้วย
