วันนี้ (8 สิงหาคม) ที่อาคารรัฐสภา วิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปฝ่ายรัฐบาล เปิดเผยถึงการทำงานร่วมกันกับพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลว่า ต้องให้กำลังใจพรรคก้าวไกลที่ต้องน้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย เพราะในทางการเมืองเราก็ผ่านเรื่องพวกนี้มาเยอะ การเมืองมีเข้ามีออก อย่างในสมัยของพรรคไทยรักไทยบางคนก็เพิ่งได้กลับมาทำงานในสมัยนี้ ถือเป็นเรื่องปกติที่จะมีการกระทำในลักษณะนี้
วิสุทธิ์กล่าวต่อว่า แม้จะไม่เห็นด้วยในวิธีการ แต่ก็ต้องยอมรับ เพราะการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันในทุกองค์กร ส่วนการทำงานร่วมกันก็คงไม่มีอะไรมาก เพราะสัดส่วน สส. ในพรรคก้าวไกลหายไปประมาณ 3-5 คน สัดส่วนในสภาก็ไม่แตกต่างกันมาก ยังทำงานเป็นปกติได้ ไม่น่าเป็นห่วง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงผลกระทบถึงตำแหน่งรองประธานสภาคนที่ 1 รวมถึงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการแต่ละคณะ ก็ต้องดูสัดส่วนของแต่ละพรรค ซึ่งแนวทางและข้อปฏิบัติของสภามีไว้อยู่แล้วว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนอย่างไรเพื่อให้ได้สัดส่วนที่พอเหมาะ
วิสุทธิ์ยังกล่าวถึงการเลือกตำแหน่งรองประธานสภาคนที่ 1 เหตุเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้ (7 สิงหาคม) ต้องเลือกกันใหม่นั้นมีผู้ให้ความสนใจเยอะ แต่เหตุยุบพรรคก้าวไกลเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ก็ยังไม่กล้าตอบว่าพรรคไหนจะได้มารับตำแหน่ง แต่ขอยืนยันว่าในวันพุธที่ 14 สิงหาคมนี้ ที่ประชุมสภาจะมีการเลือกรองประธานสภาคนใหม่อย่างแน่นอน
ส่วนการเจรจาต่อรองก็ให้เป็นหน้าที่ของผู้นำแต่ละพรรคที่จะตกลงกัน แต่โดยมารยาททางการเมืองแล้วต้องมีการหารือกันก่อน ไม่ใช่การเลือกด้วยโควตาอย่างเดียว จะต้องมีองค์ประกอบทางการเมืองในหลายอย่าง เช่น สัดส่วน สส. แต่ละพรรค เป็นต้น
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าตำแหน่งรองประธานสภาคนที่ 1 จะต้องเป็นสัดส่วนของพรรคฝ่ายรัฐบาลหรือไม่ วิสุทธิ์ยืนยันว่าต้องเป็นของรัฐบาล 100% ส่วนกรณีที่ก่อนหน้านี้มีพรรคฝ่ายค้านขึ้นมารับตำแหน่งรองประธานสภานั้น เพราะมีการตกลงว่าพรรคก้าวไกลจะเข้าร่วมรัฐบาลด้วย แต่สถานการณ์เป็นอย่างนี้แล้วก็เป็นสัดส่วนรัฐบาลที่ต้องเจรจากัน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ที่จะแบ่งโควตาจากพรรคภูมิใจไทยมาเป็นพรรคลำดับรองลงมา วิสุทธิ์กล่าวว่าก็เป็นไปได้ แต่ขอให้มีการพูดคุยกันก่อนสรุป
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงคุณสมบัติของรองประธานสภาคนที่ 1 ที่จะขึ้นมารับตำแหน่งต่อ วิสุทธิ์มองว่าจะต้องมีความเป็นกลางและแม่นข้อบังคับการประชุมในการทำหน้าที่ควบคุมการประชุมสภาให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดย สส. แต่ละพรรคก็มีคุณสมบัติพร้อม จึงไม่ได้มีความกังวลอะไร
ส่วนกรณีที่มีชื่อของ ภราดร ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หลุดเข้ามาชิงตำแหน่ง วิสุทธิ์มองว่าก็มีความเหมาะสม เพราะอยู่สภามาหลายสมัย แต่วันนี้ยังไม่กล้าฟันธงว่าจะเป็นใคร
ส่วนข้อครหาที่ตำแหน่งประธานและรองประธานทั้ง 2 คนมาจากฝั่งรัฐบาลทั้งหมดจะไม่สามารถตรวจสอบรัฐบาลได้นั้น วิสุทธ์กล่าวว่าตำแหน่งประธานและรองประธานสภามีหน้าที่ควบคุมการประชุมสภาให้เป็นไปตามข้อบังคับและความเรียบร้อยเท่านั้น ไม่ได้มีหน้าที่ไปวินิจฉัยเรื่องอื่นนอกจากเรื่องข้อบังคับ ตำแหน่งนี้ไม่ใช่เรื่องตรวจสอบถ่วงดุลอะไร เพราะฉะนั้นการตรวจสอบก็เป็นหน้าที่ของ สส. ทุกคน
เมื่อถามว่าหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นทั้งประธานและรองประธานสภาทั้งสองตำแหน่งจะถูกมองว่าไม่สามารถตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลได้หรือไม่ วิสุทธิ์บอกว่าทั้งประธานและรองประธานสภามีหน้าที่ควบคุมการประชุมสภาให้เป็นไปตามความเหมาะสม ไม่มีหน้าที่วินิจฉัยเรื่องอื่น และไม่ได้มีหน้าที่ในการตรวจสอบถ่วงดุลอะไร
