ผมเคยคิดว่าการประชุม ESG ของบริษัทเราเป็นเหมือนคอนเสิร์ตร็อกสุดมัน แต่พอมองใกล้ๆ กลับพบว่ามันคล้ายวงดนตรีงานวัดมากกว่า ที่ต่างคนต่างเล่น ไม่สนใจว่าคนฟังจะเป็นอย่างไร
ลองนึกภาพดูครับ ฝ่ายสิ่งแวดล้อม (E) กำลังตีกลองรัวๆ เรื่องคาร์บอนเครดิต ฝ่ายสังคม (S) เป่าแตรเสียงดังลั่นเรื่องความเท่าเทียม ส่วนฝ่ายบรรษัทภิบาล (G) ก็กำลังดีดกีตาร์โซโล่แบบไม่สนโลก แล้วผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเราล่ะ? พวกเขานั่งงงๆ อยู่ในผับที่ไม่ได้สั่งให้มีวงดนตรีสดมาเล่น!
แล้วเราล่ะครับ? เรากำลังยุ่งอยู่กับการขัดถูภาพลักษณ์องค์กรให้ขาววอกเหมือนกำลังล้างรถที่สกปรกแค่นิดเดียวด้วยน้ำทั้งแท็งก์ จนลืมไปว่าคนที่นั่งอยู่ในรถต้องการอะไรกันแน่
ผมว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องหยุดเล่นเกม ‘ฉาบฉวยให้ดูเลิศ’ แล้วหันมาใส่ใจคนดูตัวจริงของเรานั่นคือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน
ลองคิดดูนะครับ ถ้าเราเป็นเชฟ เราจะทำอาหารโดยไม่สนใจว่าลูกค้าชอบกินอะไรไหม? หรือถ้าเราเป็นนักฟุตบอล เราจะเล่นโดยไม่แคร์ว่าแฟนบอลจะเชียร์หรือโห่ไล่?
ได้เวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนจากการเป็น ‘ร็อกสตาร์ ESG’ มาเป็น ‘โปรดิวเซอร์เพลงแห่ง ESG’ ที่รู้ว่าผู้ฟังต้องการอะไร เราต้องหยุดการแข่งขันระหว่าง E, S และ G แล้วหันมาทำเพลงที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอยากฟังจริงๆ
ถ้าเราทำได้ ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ใช่แค่เสียงดังอึกทึกครึกโครม แต่จะเป็นซิมโฟนีแห่งความยั่งยืนที่ทำให้ทุกคนลุกขึ้นมาเต้นด้วยกัน!
และใครจะรู้? บางทีเราอาจได้รางวัล ‘Grammys แห่งความรับผิดชอบต่อสังคม’ โดยมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเราเป็นคณะกรรมการตัดสินก็ได้ ถึงตอนนั้นเราจะได้ชูถ้วยรางวัลด้วยความภูมิใจ และพูดว่า “ขอบคุณแฟนเพลงทุกคน โดยเฉพาะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเราที่ทำให้เพลงนี้เกิดขึ้นได้!”