หากจะพิจารณาผลงานการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา อาจสรุปได้ว่า ‘สินทรัพย์เสี่ยง’ โดยเฉพาะตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market) ให้ผลตอบแทนรวมค่อนข้างดี นำโดยตลาดหุ้นญี่ปุ่น สหรัฐฯ และตามด้วยยุโรป ส่วนตลาดหุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) มีหลายตลาดที่ให้ผลตอบแทนน่าสนใจ เช่น อินเดีย และเวียดนาม แต่ก็มีบางตลาดที่การบริโภคของประชากรไม่โดดเด่น หรือไม่มีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ผลงานออกมาไม่ดีนัก ขณะที่ ‘สินทรัพย์ปลอดภัย’ รวมถึงสินทรัพย์เสี่ยงต่ำให้ผลตอบแทนรวมติดลบ
ในส่วนของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ได้อานิสงส์จากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ เงินเฟ้อที่เคยติดลบมายาวนานกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีเงินไหลเข้าต่อเนื่อง จากการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรม ส่วนตลาดหุ้นยุโรป การเติบโตของกำไรไม่แตกต่างจากในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาก และถือเป็นตลาด DM ที่ Valuation ค่อนข้างถูก ซึ่งหากพิจารณาแล้วในช่วงครึ่งปีแรกยังปรับขึ้นน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับตลาด DM ด้วยกัน
ดังนั้น เราก็มองว่าตลาดหุ้นยุโรปเป็นตลาดหนึ่งที่มีความน่าสนใจ สำหรับการเข้าไปลงทุนต่อได้ในช่วงครึ่งปีหลัง
ทั้งนี้ หากพิจารณาบนประเด็นกำไรต่อหุ้น (EPS) ของตลาดต่างๆ จะพบว่า EPS ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่ได้สูง แต่ตลาดปรับตัวขึ้นมาก ในขณะที่ตลาดหุ้นจีนที่ทำผลงานได้ไม่ดีแต่มี EPS สูงกว่า สะท้อนว่านักลงทุนไม่ได้ซื้อขายบนกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างเดียว แต่พิจารณาด้วยว่าประเทศไหนที่จะเติบโตได้ในระยะยาว ซึ่งในส่วนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ นักลงทุนก็ไม่ได้มั่นใจกับหุ้นทุกกลุ่ม เน้นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่เป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม เรามองว่าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดหวัง ก็จะทำให้ตลาดหุ้น EM มีความน่าสนใจลงทุนมากขึ้น โดยในส่วนของ SCB CIO มีมุมมองว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ โดยครั้งแรกคาดว่าจะปรับลดในเดือนกันยายน และอีกครั้งในเดือน ธันวาคม 2567 ขณะที่ในการประชุมสำคัญของจีนทั้ง 3rd Plenum และ Politburo ในเดือนกรกฎาคมนี้ หากรัฐบาลมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน โดยเฉพาะนโยบายด้านอสังหาริมทรัพย์ และการแสดงท่าทีที่สนับสนุนภาคธุรกิจอย่างเต็มที่ ก็จะยิ่งสนับสนุนให้ตลาด EM ในเอเชียได้รับผลดีไปด้วยถ้วนหน้า เนื่องจากส่วนใหญ่เศรษฐกิจมีความเชื่อมโยงกับจีน แต่ก็มีประเด็นการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปลายปีนี้ที่ต้องจับตาอยู่ เพราะหากโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง อาจไม่เป็นประโยชน์นักต่อตลาดหุ้น EM
สำหรับเหตุผลที่เรามองว่าตลาดหุ้น EM น่าสนใจช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากการปรับขึ้นของตลาดยังตามหลัง (Laggard) ตลาด DM อยู่ ขณะที่ Valuation ของตลาดหุ้น EM หลายประเทศยังไม่แพง และมีเรื่องราวการเติบโตที่น่าสนใจ เช่น ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และตลาดหุ้นไต้หวัน ที่มีเทคโนโลยีซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดโลก
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไต้หวันในช่วงครึ่งปีแรกปรับขึ้นมาแล้วประมาณ 30% ดังนั้นความน่าสนใจจึงอาจอยู่ที่ตลาดหุ้นเกาหลีใต้มากกว่า เนื่องจากยังปรับขึ้นไม่ค่อยมากนัก ราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) อยู่ที่ประมาณ 10 เท่าเท่านั้น ทั้งที่มีหุ้นที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ เช่น Samsung Electronics และ SK Hynix ซึ่งการส่งออกอยู่ในวงจรขาขึ้น
ส่วนอีกตลาดที่น่าสนใจคือ ตลาดหุ้นเวียดนาม ที่มีโอกาสยกระดับไปสู่ตลาด EM ในไม่ช้านี้ จากปัจจุบันที่เป็นตลาดหุ้นชายขอบ (Frontier Market) โดยเมื่อนำตลาดหุ้นเวียดนามมาเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นไทย ซึ่งเราจะพบว่า P/E ของตลาดหุ้นเวียดนามถูกกว่าอยู่ที่ประมาณ 10-11 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับ 13 เท่า ส่วนการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนโดยรวมในตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ในระดับ 20-30% สูงกว่าตลาดหุ้นไทย ซึ่งอยู่ในระดับ 13-14% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเวียดนามยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการเป็นประเทศที่เป้าหมายในการย้ายฐานการผลิตมา ในกรณีสงครามการค้าสหรัฐฯ และจีนรุนแรงขึ้น อีกทั้งหนี้ครัวเรือนไม่ได้สูง และจำนวนประชากรยังเติบโต
เมื่อพิจารณาธีมการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับครึ่งปีหลัง เรามองว่ามีทั้งหมด 2 ธีมหลักๆ คือ
- ธีมปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ซึ่งมีธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานเกี่ยวข้องหลายส่วน โดยเรามองว่าพัฒนาการของ AI ยังเติบโตได้อีกมาก ซึ่งที่ผ่านมาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI ที่ปรับขึ้นมาแล้วคือกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ที่ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ส่วนกลุ่มถัดไปที่เราคาดว่าจะปรับขึ้นตามมาคือ กลุ่มธุรกิจที่นำ AI มาใช้
- ธีมสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) เนื่องจากเป็นแนวโน้มที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ และธุรกิจต่างๆ ก็กำลังพยายามปรับปรุงการดำเนินธุรกิจเพื่อให้มีเรตติ้งด้าน ESG ดีขึ้น โดยภายใต้ธีมนี้ เรามองว่ากลุ่มพลังงานสะอาดมีความน่าสนใจที่สุด ซึ่งเป็นผลเชื่อมโยงมาจากธีม AI เนื่องจากเมื่อบริษัทต่างๆ ใช้ AI มากขึ้น ก็ทำให้ความต้องการพลังงานเพื่อการประมวลผลสูงขึ้น ซึ่งพลังงานสะอาดจะมาตอบโจทย์เรื่องความต้องการพลังงาน ท่ามกลางการคำนึงถึงประเด็น ESG ได้
ทั้งนี้ โดยรวมแล้วเรายังคงเน้นย้ำให้ผู้ลงทุนให้ความสำคัญกับกระจายความเสี่ยง ลงทุนสินทรัพย์ที่หลากหลายมากกว่ามุ่งเน้นไปที่ตลาดใดตลาดหนึ่งเพียงอย่างเดียว ซึ่งหากที่ผ่านมาผู้ลงทุนเน้นลงทุนในไทยเป็นหลัก ก็ควรจะแบ่งเงินไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น อย่างน้อย 50% โดยนอกจากการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศแล้ว ตราสารหนี้ในต่างประเทศก็น่าสนใจเช่นกัน เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หรือหุ้นกู้ภาคเอกชนคุณภาพดีในสหรัฐฯ ที่มีอายุยาว ในกรณีของผู้ลงทุนที่มีความมั่งคั่งสูง ก็อาจจะมอง Private Credit หรือการลงทุนในสินเชื่อนอกตลาดเป็นอีกทางเลือก เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ
คำเตือน:
- การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
- สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 0 27777777