เมืองไทยประกันชีวิต เปิดตัว ‘66 Tower’ อาคารสำนักงานให้เช่าย่านสุขุมวิทอย่างเป็นทางการ มูลค่าโครงการ 3.6 พันล้านบาท ตามแผนการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ พร้อมเดินหน้าขยายลงทุนกองรีท (REIT) สร้างผลตอบแทนดีต่อเนื่อง จากปัจจุบันมีสินทรัพย์รวม 6 แสนล้านบาท
สาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL เปิดตัวอาคาร ‘66 Tower’ ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานให้เช่า ภายใต้คอนเซปต์ Human Centric Living Workplace โดย ‘66 Tower’ เป็นอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดเอบนถนนสุขุมวิท มูลค่าโครงการ 3.6 พันล้านบาท มุ่งเน้นออกแบบพื้นที่ โดยเน้นผู้ใช้งานอาคารเป็นศูนย์กลาง บนเนื้อที่ 4-2-32 ไร่ สูง 28 ชั้น พื้นที่เช่าทั้งหมดประมาณ 30,000 ตารางเมตร โครงการได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มเปิดให้บริการเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ 66 Tower มีบริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CBRE เป็นตัวแทนในการปล่อยเช่าพื้นที่สำนักงานหลักของโครงการ ปัจจุบันมีอัตราการปล่อยเช่า (Occupancy Rate) อยู่ที่ระดับ 60% ซึ่งปลายปี 2567 ตั้งเป้าอัตราการปล่อยเช่าอยู่ที่ 70% และปี 2568 อยู่ที่ 80-90% และปี 2569 จะเต็ม 100%
สาระกล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 6 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็นการลงทุนในกองรีทมากกว่า 15 กอง ซึ่งมีทั้งลงทุนในต่างประเทศและในประเทศ โดยที่ผ่านมาสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับตลาดที่อยู่ 7-8%
ทั้งนี้ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน มีการลงทุนทั้งทางตรง คือผ่านการสร้างอาคารสำนักงานให้เช่า ประกอบด้วย อาคารเมืองไทยภัทร และ 66 Tower ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการลงทุนอยู่ที่ 1% ของสินทรัพย์รวม ส่วนการลงทุนทางอ้อมคือ การลงทุนผ่านกองรีท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการลงทุนอยู่ที่ 3-5%
“การลงทุนในอสังหาเป็นสิ่งที่ MTL ให้ความสนใจ และมีการศึกษาที่จะลงทุนเพิ่ม เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาวและยั่งยืน อย่างไรก็ตาม 66 Tower เราจะไม่นำเข้ากองรีท แต่จะมองหาการลงทุนตึกที่ 3 ต่อไปเมื่อจังหวะและโอกาสที่เหมาะสม” สาระกล่าว
สำหรับ 66 Tower มีจุดเด่นที่หลากหลาย ทั้งด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมที่เน้นความทันสมัยควบคู่ไปกับความยั่งยืนเพื่อตอบโจทย์การใช้พื้นที่ของผู้เช่า โดยโครงการเลือกใช้วัสดุที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและจัดให้มีพื้นที่สีเขียวในโครงการ สถานที่ตั้งซึ่งอยู่บนทำเลถนนสุขุมวิท ใกล้ซอยสุขุมวิท 66 ทำเลศักยภาพ ง่ายต่อการเชื่อมต่อย่านธุรกิจเศรษฐกิจชั้นใน (Central Business District: CBD) โซนธุรกิจอุตสาหกรรม รวมถึงพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) อีกทั้งสะดวกต่อการเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชน
นอกจากนี้โครงการยังมีพื้นที่โคเวิร์กกิ้งสเปซและห้องประชุมให้เช่าไว้อำนวยความสะดวก ภายในอาคารยังนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ให้ความสำคัญด้านความปลอดภัย การจัดการพลังงาน และระบบการควบคุมคุณภาพอากาศภายในอาคารทั้งการกรองฝุ่น PM2.5 และการฆ่าเชื้อโรคด้วยเทคโนโลยี UVGI (Ultraviolet Germicidal Irradiation) ในระบบปรับอากาศ มาตรฐานเดียวกันกับที่ใช้ในโรงพยาบาลชั้นนำและสนามบินมาใช้อีกด้วย
“เราเข้าใจพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้ใช้พื้นที่สำนักงาน ภายหลังจากสถานการณ์โควิด ทั้งในแง่ของการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid Workplace และการนำเทคโนโลยีต่างๆ มาช่วยในการทำงาน และหาแนวทางในการประยุกต์ใช้ระบบบริหารอาคารให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งยังปรับเงื่อนไขการให้บริการต่างๆ ให้มีความยืดหยุ่นเพื่อสอดคล้องกับความต้องการของผู้เช่ามากขึ้น ดังนั้น 66 Tower ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสะดวกต่อการเข้าถึงในเมืองและออกนอกเมืองได้สะดวก เหมาะกับทุกขนาดธุรกิจ ตั้งแต่สตาร์ทอัพไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการพื้นที่อาคารสำนักงานที่มีคุณภาพและใส่ใจในการออกแบบ เพราะเราคำนึงถึงผู้ใช้งานอาคารเป็นหลัก” สาระกล่าว
ด้าน รุ่งรัตน์ วีระภาคย์การุณ กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ เริ่มคึกคักในปีที่ผ่านมา และในอีก 3 ปีข้างหน้าจะมีพื้นที่สำนักงานให้เช่าในตลาดเพิ่มขึ้นอีกมากกว่า 830,836 ตารางเมตร ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสของผู้เช่าในการเลือกสำนักงานที่ตอบโจทย์ความต้องการ อีกทั้งจะทำให้ผู้เช่าได้เปรียบเป็นอย่างมากในการต่อรองหาเงื่อนไขการเช่าที่ดี
อย่างไรก็ตาม อาคารสำนักงานยุคใหม่ที่ได้มาตรฐานระดับสากล คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 94% ของอาคารสำนักงานใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น มีเป้าหมายที่จะพัฒนาเพื่อให้เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ที่คำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รวมถึงมุ่งเน้นสุขภาวะที่ดีของผู้เช่าพื้นที่สำนักงานและผู้ใช้อาคารเป็นสำคัญ ซึ่งจะเพิ่มแรงกระตุ้นไปยังอาคารสำนักงานเก่าที่มีอายุมากกว่า 25 ปีที่มีอยู่มากกว่า 60% หากอาคารเดิมได้รับการดูแลอย่างดีผ่านการซ่อมแซมปรับปรุงใหม่ให้รองรับกับมาตรฐานสากลจะสามารถรักษาจำนวนผู้เช่าบางส่วนไว้ได้ ทั้งนี้เรายังเห็นว่าในช่วงปลายปีที่ผ่านมามีความต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าเทรนด์น่าจะดำเนินต่อไปอีกในปีนี้
“ในส่วนของเทรนด์ที่ต้องจับตามองของตลาดอาคารสำนักงานยุคใหม่ คือการให้ความสำคัญกับนวัตกรรมที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตและประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และนำเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาใช้ เราจะเห็นได้ว่าบริษัททั้งไทยและต่างชาติจะยึดหลัก ESG (Environment, Social and Governance) และข้อกำหนดของสำนักงานเพื่อความยั่งยืนมากขึ้น ทั้งให้ความสำคัญและมีแนวโน้มผลักดันแนวคิดการดำเนินธุรกิจเพื่อการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (ESG) ด้วยการเลือกอาคารสำนักงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากล สำหรับโครงการ 66 Tower ออกแบบพื้นที่สำนักงานตามมาตรฐานอาคารสำนักงานระดับเกรดเอ ซึ่งไม่เพียงแต่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลเป็นอาคารสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือ LEED ระดับ Gold แต่ยังได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารด้านเทคโนโลยี หรือ WiredScore ระดับ Gold อีกด้วย ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งของอาคารสำนักงาน”