พลพรรค ‘Lés Bleus’ ฝรั่งเศส เตรียมจะลงสนามนัดแรกในศึกยูโร 2024 ในช่วงดึกคืนนี้ โดยจะพบกับทีมชาติออสเตรีย
แต่ก่อนจะถึงเกมนี้ สิ่งที่กลายเป็นกระแสข่าวครึกโครมในฝรั่งเศสกลับไม่ใช่เรื่องการเตรียมความพร้อมหรือบรรยากาศของทีม แต่เป็นการแสดงจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจนของ คีเลียน เอ็มบัปเป กองหน้าหมายเลขหนึ่งของทีมที่ออกมาต่อต้านกลุ่มขวาจัดที่กำลังมาแรง และมีโอกาสจะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งในวันที่ 30 มิถุนายนนี้
เมื่อกีฬากับการเมืองควรแยกจากกัน ทำไมนักกีฬาที่มีเสียงอันทรงพลังอย่างเอ็มบัปเปจึงออกมาแสดงจุดยืนเช่นนี้
เรื่องนี้มีที่มาที่ไป
ในช่วงเวลาเดียวกับที่ทีมชาติฝรั่งเศสกำลังเตรียมที่จะลงทำศึกฟุตบอลยูโร 2024 ที่พวกเขาอยู่ในฐานะตัวเต็งลำดับต้นๆ ของการแข่งขันที่มีโอกาสและศักยภาพจะคว้าถ้วยอองรีเดอโลเนย์มาครอบครองได้อีกสมัย สถานการณ์การเมืองภายในประเทศกลับร้อนแรงและน่าจับตามองยิ่งกว่า
โดยหลังจากที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ปรากฏว่าพรรคสายกลางของเขาพ่ายแพ้ให้กับคู่แข่งฝ่ายขวาจัดในการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภายุโรปด้วยคะแนนเสียงตามหลังกว่า 2 เท่า
สัญญาณที่ออกมาในครั้งนี้สร้างความกระวนกระวายใจให้เกิดขึ้นในประเทศที่มีประชาธิปไตยเต็มขั้นอย่างฝรั่งเศส เพราะอาจบอกได้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่พรรค National Rally (RN) กลุ่มชาตินิยมขวาจัดจะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งของฝรั่งเศสที่จะเริ่มลงคะแนนเสียงในวันที่ 30 มิถุนายน – 7 กรกฎาคม ถึงแม้ว่าจะมีการคาดการณ์ว่าฝ่ายขวาจัดจะไม่มีคะแนนเสียงพอที่จะควบคุมรัฐบาลได้สมบูรณ์เพียงพรรคเดียว
วันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา กลุ่มพันธมิตรจากพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายได้ร่วมเดินขบวนประท้วงใหญ่ทั้งในกรุงปารีสและเมืองหลวงอีกหลายแห่ง
จำนวนผู้ที่มาร่วมประท้วงอย่างสงบนั้นประเมินว่ามากถึง 2.5 แสนคน
แต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดคือการที่นักฟุตบอลหมายเลขหนึ่งของประเทศอย่างคีเลียน เอ็มบัปเป จะออกมาร่วมแสดงจุดยืนทางการเมืองของตัวเขาอย่างชัดเจนไม่มีอะไรปิดบัง ทั้งๆ ที่ปกติแล้วกีฬาและการเมืองเป็นเรื่องที่ต้องแยกจากกัน และนักกีฬามีกฎห้ามแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
เอ็มบัปเปได้กล่าวในระหว่างการแถลงข่าวของทีมชาติฝรั่งเศสเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (15 มิถุนายน) โดยบอกว่า “ฟุตบอลยูโรก็สำคัญ แต่เหนืออื่นใดคือเราต่างก็เป็นประชาชนคนหนึ่ง ตอนนี้เรากำลังอยู่ในเหตุการณ์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน (ฝ่ายขวากำลังจะมีชัยชนะทางการเมือง) และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ผมอยากพูดกับชาวฝรั่งเศสทุกคน รวมถึงเยาวชนทั้งหลายด้วย
“เราคือคนรุ่นที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ ตอนนี้เราได้เห็นแล้วว่าฝ่ายชาตินิยมกำลังมาเคาะประตูบ้านของเราอยู่ และเรามีโอกาสที่จะกำหนดหน้าตาอนาคตของประเทศเราได้ด้วยการออกไปเลือกตั้ง”
เหตุผลที่ทำให้เอ็มบัปเปต้องออกมาแสดงจุดยืนเช่นนี้เป็นเพราะนโยบายชาตินิยมของพรรคฝั่งขวาจัดนั้นอาจทำลายสิ่งดีงามหลายสิ่งหลายอย่างในประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะเรื่องของความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม ซึ่งหยั่งรากฝังลึกมาอย่างยาวนาน
หลักฐานที่เห็นได้ชัดที่สุดคือทีมชาติฝรั่งเศสชุดลุยศึกฟุตบอลยูโร 2024 ทีมของ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ เต็มไปด้วยนักเตะที่มีภูมิหลังทางเชื้อชาติอย่างยิ่ง เกินครึ่งของ 26 ขุนพลชุดนี้มีพื้นเพจากครอบครัวผู้อพยพผิวดำที่ได้โอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฝรั่งเศส
ไม่ว่าจะยากดีมีจน สุขสบายหรือยากลำบากขนาดไหน อย่างน้อยฝรั่งเศสก็มอบชีวิตให้ครอบครัวของพวกเขาเหล่านี้
และในทางกลับกัน ความสำเร็จของทีมชาติฝรั่งเศสก็มาจากความหลากหลาย (Diversity) ทางเชื้อชาติของนักฟุตบอลเช่นกัน
จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้มาจากฟุตบอลโลก 1998 ซึ่ง เอ็มเม ฌักเกต์ ‘เลอเซเลคซิยอนแนร์’ หรือโค้ชของทีมชาติในขณะนั้น เลือกผู้เล่นที่เก่งกาจโดยไม่สนใจเรื่องภูมิหลังของเชื้อชาติหรือสีผิว เช่น มาร์กเซล เดอ ไซญี, ลิลิยอง ตูราม หรือแม้แต่ ซีเนดีน ซีดาน
ในตอนแรกชาวฝรั่งเศสไม่ได้ยอมรับสักเท่าไร แต่หลังจากที่นักเตะชุดนั้นพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถอันเอกอุและคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยแรกมาครองได้ด้วยการเอาชนะบราซิลขาดลอยถึง 3-0 ก็ทำให้คนฝรั่งเศสเปิดใจยอมรับในเรื่องความหลากหลายทางเชื้อชาติมากขึ้น
เรื่องนี้ยืนยงและยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน
หากพรรคชาตินิยมฝั่งขวาจัดก้าวขึ้นสู่อำนาจ เชื่อว่าจะมีผลกระทบต่อความหลากหลายทางเชื้อชาติตามไปด้วย
สำหรับนักฟุตบอลอย่างเอ็มบัปเป หากจะมีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นเขาคงทำใจไม่ได้ที่จะลงเล่นในนามทีมชาติฝรั่งเศสอีก “ผมอยากรู้สึกภูมิใจในเวลาที่เป็นตัวแทนของฝรั่งเศส”
ทั้งนี้ การแสดงจุดยืนของเอ็มบัปเป รวมถึงเพื่อนร่วมทีมอย่าง มาร์คัส ตูราม – บุตรชายของลิลิยอง ตูราม ฮีโร่ชุดแชมป์ฟุตบอลโลก 1998 และแชมป์ยูโร 2000 – ที่ออกมาเรียกร้องให้ชาวฝรั่งเศสลุกขึ้นสู้กับฝั่งขวาจัดไม่ให้ครองอำนาจในประเทศได้ ไม่ถูกสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส (FFF) ลงโทษแต่อย่างใด
FFF ยืนยันว่า ตามกฎแล้วนักฟุตบอลต้องห้ามแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แต่ทั้งสองมีอิสระที่จะแสดงความเห็นในเรื่องนี้ได้ และหวังว่าต่อจากนี้ทีมจะต้องเป็นกลางทางการเมืองโดยปราศจากแรงกดดันหรือการเป็นเครื่องมือทางการเมือง
ส่วนทางด้านเดส์ชองส์ไม่ได้ตำหนิเอ็มบัปเปและตูรามในเรื่องนี้แต่อย่างใด “มันเป็นเจตจำนงเสรีของพวกเขา เราต้องตระหนักด้วยว่านอกจากการเป็นนักฟุตบอลแล้ว เขาก็เป็นประชาชนคนหนึ่ง
“ผู้คนบอกว่าอย่านำฟุตบอลกับการเมืองมาปนกัน แต่ตอนนี้เรากำลังพูดถึงสถานการณ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง และอาจสำคัญยิ่งกว่าเกมการแข่งขันอีก” เอ็มบัปเปกล่าว
“สถานการณ์ในประเทศกำลังเลวร้าย และเราจำเป็นที่จะต้องออกมาทำอะไรสักอย่าง”
แต่ไม่ต้องกังวล เมื่อถึงคราวต้องลงสนาม เอ็มบัปเปและผองเพื่อนจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่แน่นอนในเกมคืนนี้
อ้างอิง: