ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘แคมเปญลดราคา’ ถือเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังในโลกค้าปลีก นั่นเพราะสามารถใช้เพื่อกระตุ้นยอดขายและดึงดูดลูกค้า การลดราคาสามารถสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้เร็วขึ้น และยังช่วยเพิ่มปริมาณการซื้อต่อครั้งอีกด้วย
จากงานวิจัยของ RetailMeNot พบว่า 66% ของผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าที่ไม่ได้อยู่ในแผนเดิมเพราะเห็นป้ายลดราคา ขณะที่รายงานของ Nielsen ระบุถึงการที่โปรโมชันลดราคาสามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 31%
แน่นอน ‘แคมเปญลดราคา’ ไม่ใช่เรื่องใหม่และเป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้ทั่วไปในอุตสาหกรรมค้าปลีก โดยเฉพาะในกลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ต, ไฮเปอร์มาร์เก็ต ตลอดจนร้านสะดวกซื้อ แต่สิ่งที่สะดุดใจคือการลดราคาทำไมต้องมาพร้อมกับ ‘ป้ายเหลือง’
มองลึกลงไป ‘สีเหลือง’ เป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับป้ายลดราคาด้วยเหตุผลทางจิตวิทยาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น
- ดึงดูดความสนใจ: สีเหลืองเป็นสีที่สว่างและโดดเด่น ดึงดูดสายตาได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ป้ายลดราคามองเห็นได้ง่ายแม้ในระยะไกล
- กระตุ้นความรู้สึก: สีเหลืองมักเกี่ยวข้องกับความสุข ความอบอุ่น และความตื่นเต้น ซึ่งเป็นอารมณ์เชิงบวกที่สามารถกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อ
- สร้างความรู้สึกเร่งด่วน: สีเหลืองยังสามารถสร้างความรู้สึกเร่งด่วน เนื่องจากมักใช้ในสัญญาณเตือนและสัญญาณอันตราย ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าพวกเขาต้องรีบคว้าข้อเสนอพิเศษนี้ก่อนที่จะหมดเวลา
การลดราคาที่คู่กับสีเหลืองไม่ใช่สิ่งที่คิดกันไปเอง เพราะมีผลวิจัยออกมารองรับว่าทำคู่กันแล้วปัง! อย่างงานวิจัยของ Kissmetrics ที่พบว่าป้ายราคาสีเหลืองสามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 27% เมื่อเทียบกับป้ายราคาสีอื่นๆ หรืองานวิจัยของ Pantone Color Institute ที่ระบุว่าสีเหลืองเป็นสีที่ ‘มองเห็นได้ชัดเจนที่สุด’ และ ‘กระตุ้นการมองเห็น’ มากที่สุด
ล่าสุด ‘ท็อปส์’ ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ก็หยิบกลยุทธ์นี้มาใช้ผ่านแคมเปญ ‘Tops LOCKED PRICE’ ที่ใช้กลยุทธ์ราคาตรึงค่าครองชีพยาวนาน 1 ปี เริ่มตั้งแต่วันนี้ – 27 พฤษภาคม 2568 โดยจะมีการเปลี่ยนสินค้าทุกๆ 3 เดือน ซึ่งหากมองเข้าไปในกลุ่มซูเปอร์มาร์เก็ตหรือไฮเปอร์มาร์เก็ต จะพบว่านี่เป็นการตรึงราคานานที่สุดในตลาด เพราะที่เห็นในตลาดมากสุดก็จะประมาณ 3 สัปดาห์เท่านั้นเอง
เหตุผลที่ต้องเปลี่ยนทุก 3 เดือน เนื่องจากท็อปส์ต้องการสร้างความหลากหลายให้กับสินค้า อีกทั้งยังมีฐานข้อมูลของลูกค้าที่ระบุว่าลูกค้ามักจะเข้ามาซื้อสินค้าเฉลี่ย 2 เดือนต่อ 1 ครั้ง แคมเปญจึงถูกนำมาใช้เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าไม่ว่าจะกลับมาซื้อตอนไหนราคาก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยน
“ในปีที่ผ่านมาพบว่าแคมเปญล็อกราคาสามารถสร้างยอดขายที่เติบโตกว่า 2 ดิจิต ฐานลูกค้าโตขึ้น 3% ลูกค้าเก่ากลับมาซื้อ 5% และยังพบว่าช่วยประหยัดค่าครองชีพให้คนไทยเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 18% ต่อปี” จักรกฤษณ์ จตุปัญญาโชติกุล รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด ประชาสัมพันธ์ และกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท็อปส์ทำแคมเปญดังกล่าว แต่มีการจัดต่อเนื่องปีนี้เป็นปีที่ 5 แล้ว แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือการวางแผนโดยใช้ข้อมูลของลูกค้าที่ได้เรียนรู้มาตลอด 4 ปี มาพัฒนาให้แคมเปญปีนี้ตอบโจทย์ความต้องการกับลูกค้าให้ได้มากที่สุด
“เราไม่ได้มองว่า Tops LOCKED PRICE เป็นแคมเปญลดราคา แต่เราต้องการใช้เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าผ่านความคุ้มค่าคุ้มราคา”
เรื่องนี้ได้รับการขบคิดมาหลังจากพบว่าลูกค้ารู้สึกว่าได้รับความคุ้มค่าจากการซื้อสินค้าหรือบริการในราคาที่ลดลง ทำให้มีความสุขและพึงพอใจกับการตัดสินใจซื้อ สะท้อนได้จากการที่ลูกค้าท็อปส์ 39% เป็นคนที่ชอบโปรโมชัน
นอกจากนี้ส่วนลดอาจช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าหรือบริการที่ปกติอยู่นอกเหนืองบประมาณได้ ทำให้ลูกค้ารู้สึกตื่นเต้นและพิเศษ ซึ่งข้อมูลพบว่าในช่วงแคมเปญลูกค้าจะหยิบสินค้าที่เข้าร่วมอย่างน้อย 2 ชิ้นในตะกร้า ซึ่ง “อีกนัยหนึ่งมองได้ว่าเราเลือกสินค้าตรงกับความต้องการ และราคาโดนใจจนต้องหยิบสินค้านี้ขึ้นมา” จักรกฤษณ์กล่าว
จากข้อมูลของท็อปส์ในแคมเปญล็อกปีที่ผ่านมา พบว่านอกเหนือจากกลุ่มสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ลูกค้ากว่า 53% มีความต้องการสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น ดังนั้นปีนี้จึงมีรายการสินค้าที่เพิ่มขึ้น 93% และจำนวนแบรนด์ที่เพิ่มขึ้นมากถึง 182 แบรนด์ ครอบคลุมสินค้าในประเทศและต่างประเทศ
“สำหรับท็อปส์อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นภาพจำสำหรับลูกค้าคือการที่มีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศและสินค้าเอ็กซ์คลูซีฟจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะฐานลูกค้าเป็นคนต่างชาติ ดังนั้นปีนี้เราจึงนำสินค้ากลุ่มดังกล่าวเข้าร่วมแคมเปญเป็นครั้งแรกเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ชื่นชอบสินค้ากลุ่มนี้”
อย่างไรก็ตาม จักรกฤษณ์ยอมรับว่าความท้าทายในการทำแคมเปญที่แตกต่างและคนอื่นเลียนแบบได้ยากคือการจัดการซัพพลายเชนและต้นทุนต่างๆ ที่นับวันก็ปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ต้องวางแผนมาเป็นอย่างดีเพื่อไม่ให้ลูกค้านั้นผิดหวัง อีกทั้งครั้งนี้ยังได้ขยายไปทุกโมเดล ทั้งท็อปส์, ท็อปส์ เดลี่ และท็อปส์ ฟู้ด ฮอลล์ ทุกสาขาทั่วประเทศ
“Tops LOCKED PRICE เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่คาดว่าจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า กระตุ้นการจับจ่ายและคลายความกังวลของประชาชนที่มีต่อค่าครองชีพในปัจจุบัน” จักรกฤษณ์กล่าวทิ้งท้าย