×

Kids on the Slope อบอุ่น ซาบซึ้ง ตามสูตร ที่สำคัญ ไทชิ นาคากาวะ หล่อมาก!

30.05.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • Kids on the Slope เล่าเรื่องชีวิตของ คาโอรุ นิชิมิ เด็กเนิร์ดชอบเก็บตัวที่มอบหัวใจให้กับการเล่นเปียโนและดนตรีคลาสสิก กระทั่งเขาย้ายโรงเรียนมาพบกับริตสึโกะ มุคาเอะ เพื่อนร่วมห้องที่ทำให้เขารู้จักกับรักครั้งแรก และ เซ็นทาโร่ คาวาบุจิ นักเลงหัวไม้ผู้แสนอ่อนโยนที่ชักชวนให้คาโอรุเข้าสู่โลกดนตรีแจ๊ซ และทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
  • สองนักแสดงนำอย่าง ยูริ จิเน็น และ ไทชิ นาคากาวะ ทำได้ดีมากในการแสดงเป็นนักดนตรีแจ๊ซที่ลูกเล่นแพรวพราวได้จริงๆ แบบไม่ใช้ตัวแสดงแทน โดยเฉพาะ ไทชิ นาคากาวะ ที่พัฒนาทักษะการแสดงของเขามาได้ไกลเหลือเกิน
  • สำหรับ ‘สายวาย’ ที่ชอบการ ‘จิ้น’ เป็นชีวิตจิตใจ Kids on the Slope เซอร์วิสฉากระหว่างคาโอรุและเซ็นทาโร่มาให้เต็มๆ ชนิดที่ได้ลุ้นจิ้นฟินจิกเบาะกันแบบเต็มๆ คุ้มค่าตั๋วอย่างแน่นอน

ข้อดีอย่างหนึ่งของหนัง Kids on the Slope คือถึงแม้จะสร้างมาจากเวอร์ชันมังงะ (เรื่อง Sakamichi no Apollon ของโคดามะ ยูกิ) แต่ต่อให้ไม่ได้รู้เรื่องมาก่อนก็ดูได้ และถึงแม้หนังจะใช้ดนตรีแจ๊ซมาเป็นแกนหลักในการเล่าเรื่อง แต่ไม่จำเป็นว่าคนดูจะต้องมีพื้นฐานความเข้าใจดนตรีที่ลึกซึ้ง ก็สามารถอินไปกับความรัก มิตรภาพ และเสียงเพลงในเรื่องได้ไม่ยากจนเกินไป

 

หนังเล่าเรื่องของ คาโอรุ นิชิมิ (แสดงนำโดย ยูริ จิเน็น) เด็กเนิร์ด ชอบเก็บตัวที่ถูกวางชีวิตเอาไว้ว่าต้องเติบโตขึ้นไปเป็นหมอ แต่ดันมอบหัวใจให้กับการเล่นเปียโนและดนตรีคลาสสิก แล้วชีวิตที่แสนซังกะตายของเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อย้ายโรงเรียนมาพบกับ ริตสึโกะ มุคาเอะ (แสดงนำโดย นานะ โคมัตสึ) เพื่อนร่วมห้องที่ทำให้เขารู้จักกับรักครั้งแรก และ เซ็นทาโร่ คาวาบุจิ (แสดงนำโดย ไทชิ นาคากาวะ) นักเลงหัวไม้ผู้แสนอ่อนโยน ที่ชักชวนให้คาโอรุเข้าสู่โลกดนตรีแจ๊ซ และนั่นทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

 

หนังดำเนินเรื่องตามสูตรแนว Coming of Age ของวัยรุ่นแบบญี่ปุ่นเอาไว้อย่างครบถ้วน ชนิดที่ว่าไม่ต้องอ่านเวอร์ชันมังงะมาก่อนก็พอจะเดาเนื้อเรื่องได้หมด ถึงแม้อาจจะฟังดูน่าเบื่อไปบ้าง แต่ผู้กำกับอย่าง มิกิ ทาคาฮิโระ (ผู้กำกับเรื่อง Tomorrow I Will Date With Yesterday You) ก็สามารถคุมโทนคนดูให้รู้สึกอินไปกับมิตรภาพที่ทั้ง 3 คนค่อยๆ ก่อสร้างขึ้นด้วยกันได้อย่างที่เราไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องน้ำเน่าเท่าไรนัก

 

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความพยายามที่จะไม่สร้างสถานการณ์ดราม่าเพื่อขยี้อารมณ์คนดูจนเกินไป หนังปล่อยให้ตัวละครทั้งสามเรียนรู้โลก เรียนรู้ความรัก เรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างช้าๆ ซาบซึ้ง อบอุ่น อมทุกข์แต่ไม่ฟูมฟายจนเกินไป ทำให้เรารู้สึกว่าได้ติดตามชีวิตนักเรียน ม.ปลาย จริงๆ แบบไม่ต้องผ่านกระบวนการโรแมนไทซ์อะไรให้มากมาย ไม่ต้องมีความฝันใหญ่โต ไม่ต้องคิดเปลี่ยนโลก แค่เรียน รัก เล่น ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุดก็พอแล้ว และยิ่งเรารู้สึกว่าหนัง ‘เรียล’ มากเท่าไร ความ ‘เลี่ยน’ ที่ควรจะรู้สึกก็ยิ่งลดลงไปมากเท่านั้น

 

ข้อดีอย่างที่สอง คือการเอาดนตรีแจ๊ซในยุคปลาย 60s ที่ยังไม่แพร่หลายมากในญี่ปุ่นมาเป็นแกนกลางที่สร้างสีสันให้กับชีวิตของทั้งสามคนได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะทุกฉากที่คาโอรุและเซ็นทาโร่เล่นดนตรีด้วยกัน โดยมีริตสึโกะยืนมองอยู่ไม่ห่าง ก็ทำให้เราอบอุ่นหัวใจและเอาใจช่วยพวกเขาได้มากๆ

 

 

ซึ่งส่วนนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับนักแสดงอย่าง ยูริ จิเน็น และ ไทชิ นาคากาวะ ไปแบบเต็มๆ การต้องแสดงเป็นนักดนตรีว่ายากแล้ว แต่การแสดงเป็นนักดนตรีแจ๊ซที่ลูกเล่นแพรวพราวให้ได้จริงๆ แบบไม่ใช้ตัวแสดงแทนนั้นยากยิ่งกว่า ซึ่งทั้ง 2 คนก็ทำออกมาได้เป็นอย่างดีราวกับเปียโนและไม้กลองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายพวกเขาไปแล้วจริงๆ

 

โดยเฉพาะฉากงานแสดงในโรงเรียนที่คาโอรุและเซ็นทาโร่ต้องแสดงให้คนทั้งโรงเรียนดูแบบสดๆ ที่นางเอกอย่างนานะ โคมัตสึ ประทับใจถึงกับให้สัมภาษณ์ว่าอยากให้ทุกคนได้ไปฟังตอนทั้งสองคนเล่นกันแบบสดๆ ในวันนั้นจริงๆ แบบไม่ผ่านการตัดต่อมากกว่าด้วยซ้ำ

 

 

หลังจากที่ติดตามพัฒนาการของไทชิ นาคากาวะ ในช่วงหลังๆ เราพูดได้เลยว่า Kids on the Slope คือผลงานที่ช่วยพัฒนาทักษะการแสดงของเขาได้มากที่สุด จะมีนักแสดงกี่คนที่ทำให้ตัวการ์ตูนญี่ปุ่น ผมแดงสั้น ใส่เสื้อลายขวางตัวใหญ่ สูงโคร่งเดินเก้งก้างเหมือนกอริลลามีเสน่ห์ได้แบบที่เขาทำ รวมทั้งทักษะการตีกลองที่ทำได้อย่างเนียนตา รอยยิ้มที่มีความสุข แววตาเมื่อต้องการเอาชนะ อาการตะกุกตะกักเมื่อต้องเขินจนทำตัวไม่ถูก ฉากบู๊ที่ออกไปต่อยดะเหมือนคนบ้า ความโกรธและผิดหวังเมื่อทุกอย่างพังทลาย รวมไปถึงเวลาตัวละครที่ภายนอกดูเข้มแข็งต้องก้มหน้าร้องไห้อย่างหมดสภาพ เขาก็ทำให้เรารู้สึกสงสารและพร้อมให้อภัยเขาได้อย่างจับใจ อาจจะมีเพียงบางฉากที่รู้สึกว่าเขายังติดการเล่นใหญ่เหมือนในเวอร์ชันการ์ตูนจนดูล้นเกินไปนิด แต่เมื่อเทียบกับเสน่ห์โดยรวมแล้วไทชิถือว่าสอบผ่านอย่างไม่มีข้อสงสัย

 

 

อีกหนึ่งที่ตัวละครที่อาจจะมีบทน้อย แต่เราอยากพูดถึงเป็นพิเศษคือ ยูริกะ ฟูกะโฮริ (แสดงนำโดย เอรินะ มาโนะ) หญิงสาวรุ่นพี่ที่ทำให้หัวใจของเซ็นทาโร่แตกสลาย ยอมรับว่าเราไม่เคยดูผลงานก่อนหน้าของเธอมาก่อน แต่แค่ครั้งแรกที่เธอปรากฏตัวออกมา ไม่ใช่แค่เซ็นทาโร่เท่านั้นที่ถูกขโมยหัวใจ แต่คนดูอย่างเราก็เฝ้ารอการปรากฏตัวของเธอในฉากต่อๆ ไปตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

ในด้านหนึ่งความน่ารักของเธอคือเสน่ห์ที่ควรยอมรับ แต่ในด้านหนึ่งเอริโนะทำให้ตัวละครยูริกะในเรื่องนี้น่ารักจนเกินไป น่ารักจนเกือบทำให้เราลืมความน่ารักของนางเอก (ที่ถือว่าน่ารักมากอยู่แล้ว) ที่สร้างมาตั้งแต่ต้นเรื่องไปเลยด้วยซ้ำ

 

แต่หนังยังมีเรื่องที่น่าเสียดายอยู่บ้างคือการเน้นความสัมพันธ์และมิตรภาพของสามตัวละครหลักมากเกินไปนิด ทั้งๆ ที่ยังมีเส้นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิวัติทางการเมืองของกลุ่มนักศึกษาที่โตเกียวซึ่งน่าสนใจ และเพิ่มมิติด้านความลึกให้กับหนังได้อีกหลายส่วน แต่หนังกลับพูดถึงอย่างผิวเผิน รวมทั้งความสำคัญและอิทธิพลของดนตรีแจ๊ซในยุคนั้น ที่นอกจากรู้ว่าเพลง My Favorite Things เป็นซาวด์แทร็กจากหนังเรื่อง The Sound of Music (1965) กับการได้ฟังเพลง Moanin ของ Art Blakey ที่คาโอรุและเซ็นทาโร่เล่นซ้ำไปซ้ำมา เราก็แทบไม่ได้รู้จักเพลงแจ๊ซในมิติอื่นจากหนังเรื่องนี้อีกเลย

 

 

อีกหนึ่งคือการพยายามเซอร์วิสแฟนคลับด้วยการใส่ฉากเกินจินตนาการระหว่างคาโอรุและเซ็นทาโร่เข้ามาตลอดเวลา เพราะมีหลายครั้งที่ทำให้เราแอบรู้สึกถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่ามิตรภาพระหว่างเพื่อนจากทั้ง 2 คน (ซึ่งจริงๆ แล้วไม่มีอะไรเกินเลยแม้แต่นิดเดียว) เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่คนดูที่ชอบการ ‘จิ้น’ เป็นทุนเดิมมาก่อน อาจรู้สึกอึดอัดขึ้นมาบ้าง

 

แต่เท่าที่สังเกตจากเสียงกรี๊ดในโรงภาพยนตร์ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เราพอจะบอกได้ว่าสำหรับ ‘สายวาย’ ที่ชอบการ ‘จิ้น’ เป็นชีวิตจิตใจ รับรองว่า Kids on the Slope เซอร์วิสมาให้แบบเต็มๆ และจะได้ลุ้นจิ้นฟินจิกเบาะกันแบบเต็มๆ คุ้มค่าบัตรอย่างแน่นอน

 

ตัวอย่างภาพยนตร์เรื่อง Kids on the Slope

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X