ผลจากกระแส ‘FOMO’ (Fear of Missing Out) หรือ ‘สภาวะกลัวตกรถ’ ของนักลงทุนต่อ Bitcoin หลังจากที่ราคาของสินทรัพย์ดังกล่าวมีการปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญต่อการเพิ่มความต้องการใน Bitcoin Spot ETF ที่เพิ่งอนุมัติในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา
โดยจากข้อมูลของ Bloomberg เผยว่า ในช่วง 3 วันที่ผ่านมานี้ ยอดเงินรายวันที่ไหลเข้า (Inflow) ไปยังกองทุน Bitcoin Spot ETF แตะจุดสูงสุด หลังจากที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนก่อน ทำให้ราคา Bitcoin ทะลุ 50,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (12 กุมภาพันธ์) นับตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2021
ในวันพฤหัสบดีนี้ (15 กุมภาพันธ์) ราคาของ Bitcoin ก็ยังคงเดินหน้าปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องจนแตะ 52,288 ดอลลาร์ ขณะที่กองทุน Bitcoin 9 แห่งที่ได้รับการอนุมัติก่อนหน้านี้ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา พบว่าหลายกองทุนมีเงินทุนไหลเข้าจนเป็นสถิติสูงสุดรายวันท่ามกลางราคา Bitcoin ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 7 วันติดต่อกัน
จากข้อมูลของ Bloomberg ยังพบว่า ยอดเงินที่ไหลเข้ากองทุน Bitcoin Spot ETF ยังมีความสัมพันธ์กับการปรับตัวขึ้นของราคา Bitcoin ที่ค่อนข้างสูง โดยในช่วง 5 วันที่ผ่านมา สองตัวแปรดังกล่าวมีความสัมพันธ์กันทางสถิติถึง 0.87 เท่า (ซึ่งหากความสัมพันธ์เป็น 1 เท่า จะหมายความว่าทั้งสองสินทรัพย์ปรับตัวในทิศทางเดียวกัน 100%)
ซึ่งกองทุน Bitcoin Spot ETF ที่มีเงินทุนไหลไปมากสุดและมีผลต่อการปรับตัวของ Bitcoin ในรอบนี้คือ BlackRock และ Fidelity Investments ในขณะที่กองทุน Grayscale Investment ที่แปรสภาพจาก Futures Trust กลายเป็น Spot ETF กลับมีเงินทุนไหลออกอย่างต่อเนื่อง
Matt Sheffield รองประธานฝ่ายเทรดดิ้งของ FalconX Holdings ประเมินว่าการไหลของเงินมายัง Bitcoin ETF ในรอบนี้ทำให้ตลาดเกิดภาวะ Supply Shock หรือการขาดแคลน Bitcoin ฉับพลัน ทำให้ราคาปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว
และ Matt ยังประเมินว่า เราเพิ่งอยู่ในจุดเริ่มต้นของ Supply Shock ที่จะเป็นมากขึ้นหากกองทุนเหล่านี้ซื้อ Bitcoin มากขึ้นในช่วงต่อจากนี้ และจะทำให้ตัวแปรอย่างเงินทุนไหลเข้า ETF และราคา Bitcoin มีความสัมพันธ์กันมากขึ้นเรื่อยๆ ตามสภาพคล่องที่มากขึ้น
อ้างอิง:
